อันดับที่ 1 TRUBB คาดตัวเลขปี61โตต่อเนื่อง ตามราคายางที่เพิ่มขึ้น เตรียม COD โรงงานใหม่ดันกำลังผลิตเพิ่ม 1-2 หมื่นตันต่อปี โบรกฯชีเป้า 2.26 บาท
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) (TRUBB)โดยนายวรเทพ วงศาสุทธิกุล ประธานกรรมการ เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการในปี 2561 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปีก่อนที่บริษัทคาดว่าจะเติบตอยู่ที่ระดับ 10% ตามทิศทางราคายางพาราที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคายางล่วงหน้าช่วงเดือน มีนาคม-เมษายน 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 60 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมราคายางแผ่นอยู่ที่ 45 บาทต่อกิโลกรัม ขณะเดียวกันความต้องการยางพารายังเพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทมีฐานกำลังผลิตใหม่เพื่อมารองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยจะผลิตเชิงพาณิชย์(COD) โรงงานใหม่ในเดือน พ.ค.2561 คือ โรงงานผลิตน้ำยางข้นที่เชียงราย กำลังผลิต 10,000-20,000 ตันต่อปี ซึ่งจะสนับสนุนให้กำลังผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 270,000 ตันต่อปี จากปัจจุบัน 250,000 ตันต่อปี ด้านนักวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ธนชาต ประเมินราคาหุ้น TRUBB มีสัญญาณปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับที่ดี ประกอบกับมีวอลุ่มเข้ามา แนะนำให้นักลงทุนสามารถซื้อเก็งกำไรได้ โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 2.26 บาท
อันดับที่ 2 ผู้ทำแผน EARTH ยื่นคำโต้แย้งคัดค้านขอรับชำระหนี้เหตุไม่ตรงจำนวน
ผู้ทำแผนฟื้นฟูEARTH ยื่นคำโต้แย้งคัดค้านขอรับชำระหนี้ เหตุเจ้าหนี้ ขอชำระไม่ตรงจำนวน ระบุขณะนี้อยู่ระหว่างรวยรวมข้อมูลทำแผนฟื้นฟู ซึ่งเจ้าหนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 2,433 ราย เป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 1.5 แสนลบ.และหนี้ดังกล่าวยังประกอบด้วยหนี้สถาบันการเงิน หนี้ตั๋วแลกเงิน หนี้หุ้นกู้ หนี้ที่เกิดจากการเข้าค้ำประกันการชําระหนี้ของบริษัทฯ ที่มีต่อสถาบันการเงิน หนี้ค่าเสียหาย และหนี้การค้าอื่นๆ ทั้งนี้ผู้ทําแผนมีระยะเวลาตามกฎหมายในการจัดทําแผนฟื้นฟูกิจการ 3 เดือน นับแต่วันทีประกาศโฆษณาคําสั่ง ตั้งผู้ทําแผนในราชกิจจานุเบกษา (ภายในวันที่ 24 มกราคม 2561) และหากยังจัดทําแผนฟื้นฟูกิจการไม่แล้วเสร็จ ภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ผู้ทําแผนอาจขอขยายระยะเวลาต่อศาลได้อีก 2 ครั้งๆ ละ 1 เดือน ปัจจุบันผู้ทำแผนอยู่ระหว่างการศึกษา และรวบรวมข้อมูล เพื่อจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท หากจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ทำแผนจะแจ้งความคืบหน้าต่อไป
อันดับที่ 3 K คาดผลประกอบการปีนี้เทิร์นอะราวด์ พร้อมปักเป้ารายได้โต 25-30% ตุน Backlog กว่า 700-800 ลบ.
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ. (K) โดยแหล่งจากวงการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 2561 คาดหวังว่าจะกลับมาเทิร์นอะราวด์ เนื่องจากธุรกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ บริษัทได้ขยายไลน์ตกแต่งภายในออกไปในกลุ่มของโรงแรม โรงพยาบาล และสำนักงานออฟฟิศ เพื่อเพิ่มช่องทางและรายได้มากขึ้น โดยคาดว่าจะมีโครงการออกมาต่อเนื่องในทุกๆเดือน เบื้องต้นบริษัทประเมินมูลค่างานปี 2561 จะอยู่ราวๆ 3,000-4,000 ล้านบาทขณะเดียวกันได้ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตอยู่ที่ระดับ 25-30% จากปีก่อน โดยบริษัทจะรับรู้งานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่จากงานอินทีเรีย หรืองานตกแต่งภายในที่มีอยู่ราว 700-800 ล้านบาท รวมถึงจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 20-22% ให้ใกล้เคียงกับปี 2559 ทั้งนี้บริษัทคาดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจตกแต่งภายในราว 55% และ 45% เป็นธุรกิจจัดแสดงสินค้า อีกทั้งมองว่าธุรกิจจัดแสดงสินค้าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2560 ที่มีงานจัดแสดงสินค้าเป็นจำนวนมากด้านนักวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ธนชาต ประเมินราคาหุ้น เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น ประกอบกับมีวอลุ่มดี แนะนำให้นักลงทุนซื้อเก็งกำไรได้ โดยประเมินราคาเป้าหมายที่ 5.70 บาท
อันดับที่ 4 LHBANK เผยผลงานปี 60 กำไรลดลง 3.4% จากปีก่อน เหตุรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิที่วูบ 28.8%
บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) LHBANK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไตรมาสที่ 4/2560 จำนวน 729.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ของปี 2559 เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยประจำปี 2560 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,603.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มีจำนวน 2,696.4 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงร้อยละ 28.8 และการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ ลดลงร้อยละ 39.8 เนื่องจากธนาคารได้กันเงินสำรองไว้อย่างเพียงพอ ดังเห็นได้จากสัดส่วนเงินสำรองพึงมีต่อเงินสำรองพึงกันอยู่ในสัดส่วนที่สูงที่ร้อยละ 186.08 กำไรต่อหุ้น สำหรับงวดไตรมาสที่ 4 และสำหรับปี 2560 เท่ากับ 0.03 บาทต่อหุ้น และ 0.15 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ เทียบกับกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานในงวดไตรมาสที่ 4 และสำหรับปี 2559 ที่มีจำนวน 0.05 บาทต่อหุ้น และ 0.20 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ
ผลการดำเนินงานของธนาคารประจำปี 2560 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,312.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.6 เมื่อเทียบกับปี 2559 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสุทธิ ร้อยละ 50.3 และกำไรลดลงของสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญร้อยละ 39.8 เนื่องจากธนาคารได้กันเงินสำรองไว้อย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย