อันดับที่ 1 SKE คาดรายได้ปี 61 โต 15% หลังปริมาณอัดก๊าซเพิ่ม-ราคาน้ำมันพุ่ง กูรูแนะซื้อเก็งกำไรให้ต้าน 1.75 บาท
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.สากล เอนเนอยี (SKE) โดยนายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า คาดรายได้ปี 2561 เติบโตราว 15% ตามปริมาณอัดก๊าซธรรมชาตที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าทั้งปี 2561 จะมีปริมาณอัดก๊าซเฉลี่ย 640/วัน อีกทั้งมองว่าปริมาณการอัดก๊าซธรรมชาตจะเพิ่มขึ้นในรอบ 3 ปี หลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทได้ตั้งงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้ในการก่อสร้างสถาณีจำหน่ายก๊าซที่จังหวัดนครสวรรค์ ในส่วนของราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในวันนี้ บริษัทคาดว่า มีวอลุ่มที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น ด้านนางสาวศศิมา หัตถกิจนิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป กล่าวว่า ประเมินราคาหุ้น SKE มีแนวโน้มของสัญญานการซื้อขายที่ดีขึ้น วอลุ่มดี แนะนำให้ซื้อเก็งกำไรได้ โดยประเมินแนวรับที่ 1.57 บาท แนวต้านที่ 1.75 บาท
อันดับที่ 2 หมอหุ้น วินิจฉัย DTAC เชื่อกำไรQ4/60โตก้าวกระโดด แถมมีแววได้เซ็นสัญญาคลื่นความถี่ 2.3 กิกะเฮิร์ซ เคาะเป้าหมาย 75 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมิน บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTA พบว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเซ็น สัญญาคลื่นความถี่ 2.3 กิกะเฮิร์ซอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ภายหลังจากที่กสทช. ได้อนุมัติแผนธุรกิจคลื่นความถี่ 2.3 กิกะเฮิร์ซให้กับทีโอทีและ DTAC ซึ่งการเซ็นสัญญาคลื่นความถี่ 2.3 กิกะเฮิร์ซที่จะเกิดขึ้น จะส่งผลให้ DTAC ไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงหรือลดการพึ่งพิงการประมูลคลื่นความถี่ของกสทช.ที่จะมาถึงในเดือนพ.ค.ปีนี้ นอกจากนี้ราคาหุ้นDTAC ยังถือว่าภูกที่สุดในกลุ่มผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยอัตราส่วน EV/EBITDA ปี 2561 อยู่เพียงแค่ 4.6 เท่า ทั้งนี้แนวโน้มกำไรสุทธิของDTAC ช่วงไตรมาส 4/2560 คาดจะทำได้ 375 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 1,146% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่อาจจะลดลง 38% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3/2560 โดยปัจจัยหนุนให้ผลประกอบการเติบโตนั้นมาจาก ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่ลดลง ขาดทุนจากธุรกิจขายเครื่องโทรศัพท์ที่ลดลง และรายได้บริการที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึง แนะนำ ซื้อ โดยมีราคาเป้าหมาย 75 บาท
อันดับที่ 3 BEAUTYโหมตลาดความงามปั๊มรายได้ กูรูเคาะซื้อ เป้า23บ.
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว โดยนายสุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 2561 เบื้องต้นประเมินรายได้รวมจะมีโอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากฐานปี 2560 พร้อมกับจะรักษาอัตราทำกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 20% โดยได้รับปัจจัยบวกจากตลาดเครื่องสำอางยังคงเติบโตในระดับ 7-9% และบริษัทมีช่องทางการจำหน่ายที่ดี รวมถึงผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการของลูกค้าในตลาดระดับบน ซึ่งทั้งหมดจะช่วยสนับสนุนผลประกอบการบริษัทมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดยบริษัทยังมีแผนการเพิ่มช่องทางขายใหม่ๆ รวมไปถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยมีแผนการขยายสาขาใหม่เพิ่มเติมซึ่งจะช่วยหนุนยอดขาย จากปัจจุบันบริษัทขยายสาขาในประเทศเป็น 345 สาขา จากเดิมในปี 2559 มี 332 สาขา ขณะเดียวกันยังมองหาโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อช่วยเพิ่มช่องทางรายได้นักวิเคราะห์ บล.ซีไอเอ็มบี ประเมินราคาหุ้นทางเทคนิคหุ้น BEAUTY มีสัญญาณ ซื้อ แนวโน้มขึ้นทดสอบ 22.00 บาท และแนวต้านถัดไปที่ 23.00 บาท แนวรับสำคัญ 20.50 บาท
อันดับที่ 4 SUN วางเป้าหมายระยะยาว 3 ปียอดขายพุ่งทะยานแตะ 2,000ลบ.
บมจ.ซันสวีท หรือ SUN โดยดร.องอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระบุว่า บริษัท วางเป้าหมายระยะยาว 3 ปี (2561-2563) ยอดขายแตะ 2,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 1,700 ล้านบาท เน้นบุกตลาดญี่ปุ่น เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นบริโภคข้าวโพดหวานเป็นอันดับ2 ของโลก มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท “ปัจจุบันเราส่งขายไปยังญี่ปุ่นประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี และมองว่าตลาดญี่ปุ่นยังมีศักยภาพและโอกาสอีกมาก เพราะญี่ปุ่นปลูกข้าวโพดหวานเองได้แค่ 3 เดือน เนื่องจากอากาศหนาวทำให้ข้าวโพดหวานไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ และประเทศไทยยังมี FTA กับญี่ปุ่นทำให้ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งส่งผลดีทำให้ได้เปรียบทางด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ขณะเดียวกันในปี 2563 ญี่ปุ่นยังเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกทำให้ร้านอาหาร โรงแรมและภัตตาคารต่างๆมีความต้องการใช้ข้าวโพดหวานเพื่อประกอบอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมาก” อย่างไรก็ตามทางด้านวัตถุดิบบริษัทจะมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยี(Smart Farm) เข้ามาใช้สนับสนุนเกษตรกรในการปลูกข้าวโพดหวาน โดยคาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3-4 ตันต่อไร่ จากปัจจุบันที่อยู่ 2 ตันต่อไร่ รวมถึงบริษัทยังได้หาพื้นที่ปลูกข้าวโพดหวานแห่งใหม่ในประเทศแถบเพื่อนบ้าน
อันดับที่ 5 SCB เล็งลดจำนวนสาขาเหลือ 400 สาขาจากปัจจุบันที่มี 1153 สาขา
บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์โดยนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ แถลงข่าวในงาน “2020 SCB VISION” ว่า SCB วางแผนเตรียมลดจำนวนสาขาเหลือ 400 สาขาจากปัจจุบันที่มี 1153 สาขา และลดพนักงานเหลือ 14000 คน จากปัจจุบันมี 27000 คน แต่จะไม่ใช้วิธีเลย์ออฟ โดยจะขึ้นอยู่กับจังหวะที่เหมาะสม ตามแผนการลดต้นทุนการเงินลงให้ได้ 30% ภายในปี 2563 ด้วยการนำระบบเทคโนโลยีมาให้บริการลูกค้า ส่วนแผนปี 2561 SCB ตั้งเป้าสินเชื่อปี 2561 เติบโต 6-8% รักษาระดับ NIM ไว้ที่ 3.1-3.3% และตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตมากกว่า 5% ส่วนเป้าสินเชื่อ SME ปีนี้คาดว่ากลับมาเติบโต 6-8% หลังจากปีก่อนไม่เติบโต