มิติหุ้น – SMPC ปี 61 ตั้งเป้ายอดขายโต 15-20% เตรียมขยายกำลังการผลิตถังแก๊สเพิ่มเป็น 10 ล้านใบต่อปี พร้อมทุ่มงบลงทุน 400 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตถังก๊าซในต่างประเทศ เจาะตลาดเอเซียใต้-แอฟริกา โบรกฯ คาดออเดอร์ซื้อถังแก๊สโตยาว เชียร์ “ซื้อ” ให้เป้าราคา 15.60 บาท
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. สหมิตรถังแก๊ส หรือ SMPC โดยนายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า แผนดำเนินธุรกิจในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโต 15-20% ตามความต้องใช้ถังแก๊สที่เติบโตในตลาดบังคลาเทศและแอฟฟริกา และประเมินแนวโน้มราคาเหล็กน่าจะอยู่ในระดับทรงตัว ไม่ผันผวน ทำให้คาดอัตรากำไรขั้นต้นกลับมาอยู่ในระดับปกติที่ 25% และส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้อยู่ระดับที่ดี
เพิ่มกำลังผลิตถังแก๊ส10ล้านใบ
โดยบริษัทเตรียมขยายกำลังการผลิตถังแก๊สเพิ่มเป็น 10 ล้านใบ/ปี จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 8.2 ล้านใบ/ปี จากโรงงานทั้งหมด 3 โรงงานในไทย คาดจะสรุปได้ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ และหากอนุมัติลงทุน จะใช้เงินราว 30 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรรองรับขยายกำลังการผลิต คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายไตรมาส 2 จากนั้นจะเริ่มเดินเครื่องผลิตในช่วงไตรมาส 3
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมสร้างโรงงานผลิตถังแก๊สในต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาพื้นที่มีความเหมาะสมระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแอฟริกา เบื้องต้นคาดว่าจะมีความพร้อมประมาณปลายปี 61 และเป็นการไปลงทุนโดยร่วมมือกับพันธมิตร คาดใช้เงินลงทุนราว 400 ล้านบาท และมีกำลังผลิตประมาณ 2.5 ล้านใบ/ปี เพื่อรองรับความต้องการใช้งานถังแก๊สในประเทศดังกล่าว
สำหรับผลประกอบการปี 2560 บริษัทคาดยอดขายเติบโตตามเป้าที่ 20% จากปี 2559 ที่มีรายได้ 3.6 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 541.14 ล้านบาท โดยรอบ 9 เดือนปี 60 ทำยอดขายได้แล้ว 3.25 พันล้านบาท กำไรสุทธิ 381.12 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบเหล็กราคาสูงขึ้น และรับคำสั่งซื้อระยะยาว ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นทำได้ต่ำกว่าปกติที่ 25% แต่สถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นหลังราคาเหล็กทรงตัวในช่วงครึ่งปีหลัง
หุ้นมีอัพไซด์18%ชี้เป้า15.60บ.
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.เออีซี ประเมิน SMPC โดยให้น้ำหนักการลงทุนสะท้อนแนวโน้มคำสั่งซื้อถังแก๊สที่โตต่อเนื่องในตลาดเอเชียและแอฟริกา ประกอบกับปี 2561 บริษัทมีแผนขยายกำลังผลิตจากปัจจุบันปีละ 8.2 ล้านใบ เป็น 10 ล้านใบ และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรช่วงไตรมาส 2/60 หุ้นละ 0.34 บาท มี Upside 18.2% จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2561 ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 15.60 บาท