มิติหุ้น- บมจ.กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ตอกย้ำความมั่นใจโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เซนไดและชิบะ ประเทศญี่ปุ่นคืบหน้ากว่า 90% ขณะนี้รอให้การไฟฟ้าก่อสร้างสายส่งให้แล้วเสร็จ มั่นใจจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ภายในไตรมาส 4/61 “ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย” ระบุต่อจากนี้กลุ่ม GUNKUL เน้นเจาะธุรกิจพลังงานทดแทนไปยังประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น หวังดันรายได้และกำไรในอนาคตเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
ผู้สื่อช่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ประเทศญี่ปุ่นว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยในส่วนของการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เซนได เมืองมิยากิ กำลังการผลิตติดตั้ง 38.10 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตขายไฟฟ้า 31.75 เมกะวัตต์ ในปัจจุบัน ได้มีการก่อสร้างและติดตั้งแผงโซลาร์ไปกว่า 99.5% เหลือเพียงส่วนของการก่อสร้างสายส่งที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและมีความคืบหน้า 30%
ส่วนความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คิมิทสึ เมืองชิบะ กำลังการผลิตติดตั้ง 40.41 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตไฟฟ้า 33.50 เมกะวัตต์ในปัจจุบัน มีการก่อสร้างและติดตั้งแผงโซลาร์ไปกว่า 80% ส่วนการก่อสร้างสายส่งอยู่ในระหว่างก่อสร้าง มีความคืบหน้า 32% ซึ่งคาดว่าทั้ง 2 โครงการจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2561
“บริษัทฯให้ความสำคัญในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 โครงการนี้มาก ซึ่งถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซนได และเมืองชิบะ ที่ตอนนี้มีความคืบหน้าไปมาก ขณะนี้รอเพียงให้การไฟฟ้าดำเนินการสร้างสายส่งให้แล้วเสร็จ ซึ่งจากความคืบหน้าของแต่ละโครงการ และส่วนงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าภายในไตรมาส 4/2561จะสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้อย่างแน่นอน”ดร.สมบูรณ์กล่าว
กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวอีกว่า การเติบโตของกลุ่ม GUNKUL จะมุ่งไปสู่กลุ่มประเทศที่ยังมีโอกาสและมีศักยภาพในการเติบโตมากขึ้น ซึ่งในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นหากดำเนินการแล้วเสร็จได้ตามแผน เชื่อว่าจะสร้างการเติบโตให้กับกลุ่มบริษัทและสามารถเพิ่มจำนวนเมกะวัตต์ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ ทำให้รายได้และกำไรในอนาคตของกลุ่มบริษัทเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และส่งผลให้รายได้ปีนี้เติบโตได้ตามเป้าไม่ต่ำกว่า 20% จากปี 2560 มีรายได้รวม 4,855.28 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ จำนวน 635.36 บาท