ตลาดน้ำมันดิบถูกกดดัน จากอุปทานจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

125

มิติหุ้น-ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 59-64 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 64-68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

 

 

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (19 – 23 มี.ค. 61)

 

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มอ่อนตัวลง เนื่องจากตลาดได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ แซงหน้ารัสเซีย และกลายเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก รวมถึงแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันดิบปรับตัวลดลงในช่วงปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี นอกจากนี้ ต้องจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 20-21 มี.ค. 61 นี้ ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในปีนี้หรือไม่ โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและกดดันราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันดิบที่อาจตึงตัว จากเหตุความไม่สงบในลิเบียที่ยังคงยืดเยื้อ แม้ว่าลิเบียจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มก่อความไม่สงบเพื่อเปิดดำเนินการแหล่งผลิตน้ำมันดิบ El Feel ได้ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. 61 ก็ตาม

 

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

 

  • ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเหนือระดับจุดคุ้มทุนของการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ โดยล่าสุด สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ปรับเพิ่มการคาดการณ์ปริมาณน้ำมันดิบสหรัฐฯ ปี 2561 ในเดือน มี.ค. เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2561 คาดว่าจะเฉลี่ยที่ระดับ 11.17 ล้านบาร์เรลวัน ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐฯ แซงหน้ารัสเซีย และกลายเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก ในขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (Shale oil) ในเดือน เม.ย.ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นราว 0.13 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดือน มี.ค. สู่ระดับ 6.95 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

 

  • ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการใช้น้ำมันดิบที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลดลงในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี รวมถึงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด EIA รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สำหรับสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 9 มี.ค. 2561 ปรับเพิ่มขึ้น 5.0 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 430.9 ล้านบาร์เรล

 

  •  ติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศลิเบียที่ยังคงยืดเยื้อ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ส่งผลกระทบให้ลิเบียต้องประกาศเหตุสุดวิสัย (Force Majeure) และหยุดดำเนินการผลิตจากแหล่งน้ำมันดิบ El Feel ซึ่งมีกำลังการผลิตราว 70,000 บาร์เรลต่อวัน แม้ว่าลิเบียจะสามารถบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มก่อความไม่สงบในการเปิดดำเนินการแหล่งผลิตน้ำมันดิบดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค. 61 ก็ตาม

 

  • จับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 20-21 มี.ค. 61 ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้หรือไม่ โดยล่าสุด CME Group วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ พบว่านักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. นี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือน มิ.ย. และครั้งที่ 3 ในเดือน ก.ย. ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในสกุลเงินสหรัฐฯ มีราคาแพงขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น และกดดันราคาน้ำมันดิบ

 

  • ตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านของจีน จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดขายบ้านใหม่ และดัชนีภาคการผลิต (Markit PMI) ของสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ดัชนีภาคการผลิต (Markit PMI) ของยูโรโซน

 

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 – 9 มี.ค. 61)

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 62.34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.72 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 66.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบปิดเฉลี่ยอยู่ที่ 62 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันดิบอ่อนตัวลดลงในช่วงฤดูกาลปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นประจำปี อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากความร่วมมือระหว่างกลุ่มผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกในการปรับลดกำลังการผลิต