เมื่อตอนที่แล้ว ได้เขียนถึง Bitcoinไปบางส่วนแล้ว ในตอนที่ 2 นี้ เรามาทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นในเนื้อหาของ Crypto Currency
Crypto Currency และ Blockchain
สกุลเงินเข้ารหัส คือความหมายตรงที่สุดของ Crypto Currency โดยเป็นสกุลเงินที่ออกแบบมาเพื่อให้มีธุรกรรมด้วยระบบดิจิตอล ซึ่งจะต้องเข้าไปโดยการเข้ารหัส จึงจะสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้
Blockchain ทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูล หรือเป็นฐานข้อมูลทั้งหมดและทุกคนที่เข้ามาในระบบจะมีข้อมูลเดียวกัน Blockchainจึงอยู่กับทุกคน เรียกว่าเป็น Decentralizedข้อมูลจะ update ตลอดเวลา และทุกคนยอมรับในข้อมูลนี้ เหมือนกันๆ จึงไม่สามารถที่จะโกงกันได้ การเกิดธุรกรรมที่ผ่าน Blockchainนี้ทุกคนจะเห็นหมด ไม่สามารถจะแยกข้อมูลใดๆ ออกมาทำส่วนตัวได้ ทุกคนจึงเป็นฐานข้อมูลในตัวเอง
ตัวอย่าง เมื่อนาย A ส่งคำสั่ง หรือทำธุรกรรม กับนาย B ระบบ Blockchainจะไปถึงมือทุกคน เหมือนเป็นการ Approve ธุรกรรมนี้พร้อมๆ กัน ต่างกับระบบธนาคารซึ่งเป็น Centralized ที่นาย A ต้องไปทำธุรกรรมที่แบงก์ จากนั้นให้แบงก์ส่งต่อไปนาย B แบงก์จะเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการ แต่ Blockchain ไม่มีตัวกลาง เปิดให้การกระจายธุรกรรมนี้เกิดพร้อมกันกับทุกคน
รูปภาพของBlockchainแสดงทุกเครื่องมีข้อมูลเหมือนกัน
Blockchainจึงยากมากต่อการปลอมแปลง ยังไม่เคยมีใครในโลกที่สามารถ Hack ระบบนี้ได้ และมีความน่าเชื่อถือสูงมาก เนื่องจาก เราไม่ต้องใช้คอนเซปท์ของ “ความน่าเชื่อถือ ในตัวกลาง” อีกแล้ว แต่เราใช้ความเชื่อถือใน “ทุกคน” ในการดำเนินธุรกรรมแทนนั่นเอง หากจะ Hack ต้องทำกับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละคนทั่วโลกพร้อมกัน ซึ่งเป็นไปได้ยาก
หลายธุรกิจอาจต้องปิดตัวเพราะ Blockchain
Blockchainมีศักยภาพที่จะเข้ามาแย่งบทบาทของทุกหน่วยงาน ที่มีหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ของอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร การไฟฟ้า บริษัทแลกเปลี่ยนเงินตรา และอื่น ๆ สุดจะจินตนาการ ถึงตรงนี้ ผู้เราพอจะจินตนาการออกแล้ว ว่าธุรกิจ อะไรบ้าง ที่จะล้มหายตายจากไปพร้อมกับการกำเนิดขึ้นของเจ้าเทคโนโลยี Blockchainนี้
แหล่งข้อมูล :nuuneoi.com, gawao.com