ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า ราคาหุ้น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU ในช่วงเช้าได้ปรับตัวไปอยู่ที่ 17.60 บาท ลดลง 0.60 บาท หรือเปลี่ยนแปลง -3.30% โดยในส่วนของ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ได้ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/61 ของ TU ยังคงลดลงทั้งเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า โดยลดลง 14% และ 32% ตามลำดับ ขณะที่ยอดขายก็ปรับตัวลงเช่นกัน เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซัน บวกกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าประมาณ 10% รวมทั้งต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่ายังสูงจากการมีสต็อกที่ราคาสูงมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/60
ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิเคราะห์ประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 2/61 กำไรของ TU จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซัน รวมถึงมีการปรับราคาขายได้ตามแผน ขณะที่ต้นทุนเฉลี่ยปลาทูน่าลดลง เนื่องจากมีสต็อคปลาทูน่าในเดือน ม.ค.-ก.พ. ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาปลาทูน่าปรับตัวลดลงมาที่ 1,550 และ 1,480 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ตามลำดับ ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทยตั้งแต่เดือน เม.ย. คาดมีผลกระทบจำกัด เนื่องจากต้นทุนค่าแรงมีสัดส่วนประมาณ 6% ของต้นทุนการผลิต อีกทั้ง TU จ่ายค่าแรงสูงกว่าขั้นต่ำอยู่พอสมควร ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมายที่ 22.10 บาท
ด้าน บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทางฝ่ายวิเคราะห์ได้รับลดประมาณการปี 61 ของ TU ลงจากเดิม เนื่องจากแนวโน้มการดําเนินงานที่อ่อนแอกว่าคาด โดยได้ปรับยอดขายเหลือ 131,642 ลบ. ลดลง -4% และปรับ margin ลงจากเดิมจากเงินบาทแข็งค่า และได้ปรับกําไรสุทธิลงเหลือ 5,437 ลบ. ลดลง -10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีปัจจัยจากแรงกดดันค่าเงินบาทที่แข็งค่า อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายมองว่า TU มีผลการดำเนินงานที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จึงแนะนำ “ทยอยซื้อ” และปรับราคาพื้นฐานลงเหลือ 19.40 บาท