ดูเหมือนเรื่องสงครามการค้ารอบใหม่ของสหรัฐฯ กับจีน เป็นเรื่องให้ต้องติดตามกันอีก หลังจากเมื่อวันศุกร์ (6 เม.ย.) ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมพิจารณาเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มมูลค่าราว 1-1.5 แสนล้านดอลลาร์เพื่อตอบโต้จีนอีกรอบ นั่นทำให้ ณ ตอนนี้ประเมินว่าหากมีสงครามการค้าเกิดขึ้น จะกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งสองและการค้าระหว่างประเทศอื่นจะได้รับผลกระทบไปด้วย โดยเฉพาะประเทศที่มีการค้ากับจีน รวมทั้งไทยที่มีการส่งออกไปยังจีนคิดเป็นสัดส่วน 12.4% ในปี 2560 นั่นมีผลทำให้หุ้นที่อิงธุรกิจส่งออกจะถูกกระทบจากเรื่องนี้โดยตรง
ตลาดหุ้นไทยวันทำการแรกของสัปดาห์นี้ สามารถปิดตัวบวก 11.35 จุด อยู่ที่ระดับ 1,751 จุด ปรับตัวรีบาวด์ขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่ลงไปกว่า 1% แต่ด้วยสัปดาห์นี้มีวันทำการเพียงแค่ 4 วัน การลงทุนในช่วงนักลงทุนอาจมีความระมัดระวัง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ KTBST ให้ติดตามคือ ถ้อยแถลงของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในงาน Boao forum ซึ่งคาดว่า จีนจะไม่ต้องการที่ตอบโต้การค้าของสหรัฐฯ มาก แต่ยังต้องติดตามมุมมองเรื่องค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงว่าจะมีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจ โดยค่าเงินหยวนนั้นถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญหนึ่งของจีนในการใช้ต่อกรกับสหรัฐฯ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จีนจะปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงไปอีกเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน จับตามองการส่งงบการเงินไตรมาส 1 ของกลุ่มธนาคาร ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นหุ้นธนาคารเป็นกลุ่มหลักๆ ที่ดึงดัชนีของตลาดลงมา จากประเด็นเรื่องการลดค่าธรรมเนียมและการตั้งสำรอง ซึ่ง KTBST คาดว่ากำไรของธนาคาร 9 แห่งอยู่ที่ -5.7% YoY และ +21.1% QoQ แต่มุมมองของ KTBST นั้นเริ่มมีการปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยใหม่จากเดิมที่ Underweight ขึ้นสู่ระดับ Neutral เพราะมองว่า ตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบในเรื่องกำไรของกลุ่มธนาคาร และความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนการเลือกตั้งไปบ้างแล้ว ขณะที่ธนาคารโลก ( World Bank) ได้ประเมิน GDP ของไทยปีนี้ที่ 4.1% จากปีก่อน 3.9% ด้วยแรงหนุนส่งออก-การบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวและยังได้แรงหนุนส่งจากนักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามากในสัปดาห์ก่อน
ดังนั้น ยังมองว่าภาพรวมของตลาดดูดีขึ้น แต่แรงบวกยังมีไม่มากซึ่งต้องมาประเมินกันอีกทีหลังวันหยุดยาว สำหรับหุ้นที่มองว่ายังมีปัจจัยบวกสนับสนุน อยู่ในภาวะตลาดเช่นนี้ ได้แก่ AOT , CPALL , CPN , TOA
