ฝ่ายวิจัยฯ คาดสัปดาห์นี้ภาพรวมตลาดฯจะดีขึ้น จากปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศ ได้แก่ i) ผลการหารือทางการค้า/การพาณิชย์ระหว่างเจ้าหน้าระดับสูงของสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเสร็จสิ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการเปิดเผยผลการเจรจา แต่เชื่อว่าจะสามารถหาทางออกผ่านการเจรจาได้ในที่สุด ii) ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ เดือน เม.ย. ซึ่งไฮไลท์อยู่ที่ตัวเลขค่าจ้างแรงงาน ซึ่ง Consensus คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.7% YoY เท่ากับในเดือน มี.ค. และไม่น่ากดดันให้บอนด์ยิลด์ของสหรัฐฯ ปรับขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้เราเชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่เกิดขึ้นในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นผลจากการเตรียมเงินเพื่อจองซื้อหุ้น IPO บ.เสี่ยวมี่ (xiaomi) บริษัทมือถือสัญชาติจีน ที่ยื่นเอกสารเพื่อขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเมื่อวันที่ 3 พ.ค. เบื้องต้นคาดมูลค่าราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 300,000 ล้านบาท)
ขณะเดียวกัน เราเชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยจะน้อยกว่าประเทศอื่นใน TIP market อย่าง ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย เนื่องจากแรงซื้อสะสมจากต่างชาติตั้งแต่เริ่มต้นมาตรการ QE ในปลายปี 2551 ในประเทศไทยตอนนี้นั้น เป็นขายสุทธิอยู่มากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (สะท้อนว่าเงินร้อนจากมาตรการ QE ในตลาดหุ้นไทยเหลือน้อย) ขณะที่ตลาดฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียนั้น เป็นซื้อสุทธิอยู่มากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯและ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯตามลำดับ เราจึงไม่แปลกใจที่ตลาดหุ้นไทยจะ Outperform ตลาดหุ้นทั้ง 2 ประเทศในขณะนี้ และจากทฤษฏีเรื่อง “Sell in May and go away” นั้น มักเกิดขึ้นจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลักตามปัจจัยฤดูกาล ดังนั้นหากพิจารณาในมุมสถานะการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในหุ้นไทยแล้ว เราประเมินว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะปรับลงแรงตามทฤษฏีฯ เราประเมินกรอบแนวรับ – แนวต้าน SET index ในกรอบ 1770 – 1800 จุด (กรณีเลวร้ายประเมินแนวรับสำคัญที่ 1740 จุด)
แนะนำนักลงทุนติดตามการรายงานผลประกอบการของหุ้นในกลุ่ม Real Sector ที่จะเริ่มต้นทยอยรายงานในช่วงปลายเดือน เม.ย. นี้ ซึ่งเราประเมินเบื้องต้นว่า หุ้นกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL, ROBINS, COM7 (การบริโภคฟื้นตัว), ยานยนต์ เช่น SAT, AH (ยอดผลิตรถยนต์โต >10% YoY), ท่องเที่ยว เช่น AOT, ERW (High season + บรรยากาศการท่องเที่ยวฟื้น), พลังงาน เช่น PTT, PTTEP (ราคาน้ำมันยังสูงเทียบ YoY) มีแนวโน้มที่จะโตเด่น YoY, กลุ่มโรงไฟฟ้า เช่น EGCO, GULF
สำหรับธีมการลงทุนอื่นๆที่น่าสนใจ ได้แก่ i) ประเมินหุ้นรับธีมไทยแลนด์ 4.0 + FinTech อาทิ ซอฟแวร์ NETBAY, SPPT, HUMAN / Hardware COM7*, SYNEX ii) ธีมโครงการ EEC อาทิ WHA, AMATA iii) หุ้นกลุ่มรับเหมาฯที่ราคา Laggard อาทิ CK*, SEAFCO คาด 2H61 งานประมูลโครงการภาครัฐฯจะเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง
โดยสุโชติ ถิรวรรณรัตน์
ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)
www.mitihoon.com