IRPC ไตรมาส 2 ยังโตแกร่ง มั่นใจทั้งปี 61 ทำผลประกอบการนิวไฮ

326

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC โดยนางรัชดาภรณ์ ราชเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สาย บัญชีและการเงิน กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส2/2561มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาส1/2561 เนื่องจากไม่มีการหยุดซ่อมบำรุง ประกอบในช่วงไตรมาส2นี้หลายโรงกลั่นมีการหยุดซ่อมบำรุงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ภาพรวมกำลังการผลิตในตลาดลดลง ซึ่งจะส่งผลบวกต่อIRPC ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ทั้งกลุ่มปิโตรเคมี ส่วนเอสเทอรีนทรงตัวใกล้เคียงไตรมาส1/2561 ส่วนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันนั่นจะถูกชดเชยด้วยกำไรจากการสต๊อกน้ำมันซึ่งราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับ70ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าเงินบาทในปัจจุบันก็เริ่มอ่อนค่าลงแล้วเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส1/2561

ทั้งนี้ในปี 2561 นั้นคาดว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งหรือทำผลประกอบการรายได้และกำไรนิวไฮ เนื่องจากจะเป็นปีที่เก็บเกี่ยวกำไรจากการลงทุนทั้งหมดได้เต็มปีจากโครงการที่ลงทุนในปีที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นโครงการ เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) ของ โรงกลั่นและการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) อีก 3 แสนตันต่อปีและโครงการEVEREST โครงการไออาร์พีซี คลีน เพาเวอร์ 2

ขณะทิศทางราคาน้ำมันยังประเมินในปี2561ที่ระดับ 65-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล นอกจากนี้ยังคาดว่ากำลังการกลั่นจะเพิ่มขึ้นเป็น 213,000 บาร์เรลต่อวันจากปีก่อนอยู่ในระดับ 180,000 บาร์เรลต่อวัน อัตราการใช้การกลั่นเฉลี่ยเพิ่มในระดับ99% จากปีก่อนเฉลี่ยในระดับ 96% ทั้งนี้คาดว่าค่าการกลั่นรวม(GIM) อยู่ในระดับ 14-15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ผลประกอบการเติบโตได้อย่างดี

พร้อมตั้งเป้าEBITDA ปี 2563 เติบโตในระดับ 29,000 ล้านบาท จากปัจจัยหนุนจากการต่อยอดโครงการEVEREST FOREVER (E4E) คาดว่าจะมีกำไรจากดารดำเนินโครงการนี้ราว 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 และจะเริ่มรับรู้กำไรปีนี้ราว 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้ามาในปีนี้ ส่วนการดำเนินโครงการ IRPC 4.0 ตั้งเป้ามีกำไรเข้ามา100ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี2563 ส่วนโครงการ MARS คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในปี2562 แล้วเดินเครื่องได้ในปี2565 ขณะที่ความสามารถในการลงทุนนั้นปัจจุบันมีเงินสดในมือราว3,000-4,000 ล้านบาท

ส่วนการขายที่ดินจำนวน 2,152 ไร่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ WHA ลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมนั้นจะรับรู้รายได้เข้ามาไตรมาส3/2561 จำนวน 650 ล้านบาทพร้อมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแล้วเสร็จและเริ่มพัฒนาที่ดินในไตรมาส3นี้เช่นกันและคาดว่าจะดำเนินการขายได้ในปี2565 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมนี้ราว8,000ล้านบาทโดยจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ การบิน หุ่นยนต์

ขณะที่ดินพื้นที่อ.จะนะ จ.สงขลา ของ IRPC ราว 2,000 กว่าไร่กำลังอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรมรองรับท่าเรือน้ำลึกในพื้นที่สงขลา

นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสลงทุนซื้อกิจการ(M&A) ในภูมิภาคอาเซี่ยนโดยเบื้องต้นอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการซื้อกิจการปิโตรเคมีและยังมองหาโอกาสซื้อกิจการธุรกิจปิโตรเคมีขั้นปลาย หรือโรงงานผลิตภัณฑ์จากเม็ดพลาสติกในประเทศไทยคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีนี้ อย่างน้อย1ราย

www.mitihoon.com