ปัจจัยลบ กดตลาดหุ้น

136

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา ปรับลดลง 391.64 จุด มาปิดที่ 24,361.45 จุด พลอยฉุดหุ้นทั่วโลก “แดงเถือก”

หุ้นไทยหยุดทำการวันอังคาร เนื่องในวันวิสาขบูชา เปิดทำการวันพุธที่ 30 พ.ค. “ไม่รอด” เช่นกัน ดัชนีดิ่งลึกไปกว่า 22 จุด และเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน กระทั่งมาปิดซื้อขายที่ 1,725.14 จุด ลดลง 9.40 จุด มูลค่าซื้อขายกว่า 7.7 หมื่นล้านบาท

            หุ้นบลูชิปทุกกลุ่มในกระดาน ถูกเทขายออกมาอย่างหนัก กดดัชนีเล่นในแดนลบทั้งวัน แม้จะมีบางตัวที่เขียวบวกสวนกระแส เพราะมีข่าวดีรายตัวเข้ามาสนับสนุน

ทำไมหุ้นลง? หลายคนคงเกิดคำถามนี้

ปัจจัยลบที่ฉุดหุ้นไปไหนไม่รอดในห้วงเวลานี้ มีประมาณ 3 ประเด็นหลัก

ประเด็นแรก “ราคาน้ำมัน” ก่อนหน้านี้ 2 สัปดาห์ ราคาน้ำมันขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบนี้ที่ 72 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ล่าสุดลงมาอยู่แถวๆ 66 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อน้ำมันลง จึงเป็นแรงกดหุ้นในกลุ่มน้ำมัน ซึ่งลีดนำในกระดานร่วงลง ดัชนีหุ้นไทยเลยรูดอย่างที่เห็น

ประเด็นต่อมา “เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย” รอบนี้เฟดจะมีการประชุมในวันที่ 12-13 มิ.ย.นี้ ตลาดกำลังวิตกกังวลว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ หากเฟดปรับดอกเบี้ยขึ้น เงินก็จะไหหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย กลับไปสู่ตลาดสหรัฐ ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า

เห็นได้จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเฟดมีทั้งปรับขึ้นดอกเบี้ย และขู่ว่าจะขึ้น ต่างชาติขนเงินกลับ โดยการเทขายหุ้นกลุ่มเดียว กว่า 119,178 ล้านบาท แล้วหุ้นจะขึ้นได้อย่างไร

ประเด็นต่อมา “หนี้สาธารณะยุโรป” ไม่ว่าจะเป็นหนี้ของอิตาลี สเปน กรีซ  ได้กลับมาหลอนอีกรอบ หลังจากที่ซาไปเกือบ 3 ปี ประกอบกับอิตาลีมีการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ทำให้มองว่า ปัญหาการเมืองในยุโรปจะเป็นปัจจัยลบ รุมกระหน่ำอีกแรง

                นาทีนี้ มีแต่ปัจจัยลบรอบด้าน นักลงทุนเลยขายหุ้นออก เพื่อลดเสี่ยง หุ้นไทยเลยโดนลูกหลงชนิดที่เลี่ยงได้ยาก

                                                                                                                “บิ๊กเซ็ต”