ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น หรือ TICON โดยนายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจรายได้ปี 2561 เติบโตมากกว่า 15% หลังไตรมาส 1/61 สามารถทำได้แล้วราว 12% จากปี 2560 ที่มีรายได้ 2,140.56 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนขยายและพัฒนาพื้นที่เช่าเพิ่มอีก 100,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับกลุ่มผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรม จากปัจจุบันมีอัตราเช่าพื้นที่รวมกว่า 71%
ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทมีแผนขายสินทรัพย์เข้ากอง TREIT มูลค่า 3,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นพื้นที่ขนาด 160,000 -170,000 ตารางเมตร ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกองรีทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จากปัจจุบันมีมูลค่า 2.91 หมื่นล้านบาท
สำหรับแผนดำเนินธุรกิจระยะยาว ภายในปี 2563 บริษัทจะเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่เป็น 85% จากปัจจุบันอยู่ที่ 71% ด้วยการขยายพื้นที่ในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะใน EEC เพื่อผลักดันพื้นที่บริหารจัดการกว่า 3 ล้านตารางเมตร ภายในปี 63 จากปัจจุบันมีพื้นที่บริหารจัดการรวมอยู่ที่ 2.7 ล้านตารางเมตร ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมือสูงถึง 4,366 ล้านบาท เพียงพอต่อการลงทุนในปีนี้
ส่วนธุรกิจพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าในประเทศอินโดนีเซีย บริษัทเดินหน้าขยายโครงการเฟสที่ 3 จำนวนกว่า 5,000 ตารางเมตร ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยปัจจุบันมีพื้นที่ให้บริการรวมกว่า 6.7 หมื่นตารางเมตร
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2561 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค.2561 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,118.77 ล้านบาท เติบโต 104.6 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2560 ที่มีรายได้รวม 546.89 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 260.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165 ล้านบาท หรือคิดเป็น 173% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทสามารถขยายพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้น ทั้งในรูปแบบอาคารพร้อมใช้ (Ready-Built) และสร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) เนื่องจากได้รับความไว้วางใจเช่าโรงงานและคลังสินค้าเพิ่มขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) รวมกว่า 71% รวมถึงมีการรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งในรูปแบบที่ดินเปล่าและที่ดินพร้อมคลังสินค้า
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากค่าบริหารจัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน หรือ TREIT ที่เพิ่มขึ้น ภายหลังจากการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปลายปี 2560 ด้วย
