มิติหุ้น – บลจ.วรรณ ประเมินตลาดหุ้นไทย ดัชนียังเคลื่อนไหวตามปัจจัยต่างประเทศ มองกรอบสัปดาห์นี้ 1,710-1,760 จุด หากดัชนีย่อตัวแนะทยอยลงทุน 1AM SET50-RA ส่วนกองทุนต่างประเทศแนะลงทุนกองทุน ONE-UGG
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ หรือ ONEAM เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อตลาดหุ้นทั่วโลกสัปดาห์นี้ จากปัจจัยหลักที่ยังเป็นเรื่องการรอผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในวันที่ 12-13 มิ.ย. นี้ โดยคาดว่า Fed มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% พร้อมกับยังคงต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า ECB อาจเริ่มส่งสัญญาณปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
ชี้ช่องเข้าลงทุนหุ้นไทย
ขณะที่แนวโน้มการเคลื่อนตัวของตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ ประเมินเคลื่อนไหวในกรอบ 1,710-1,760 จุด โดยตลาดยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก อาทิ การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ และผลการประชุมของธนาคารกลางต่างๆ รวมถึงความไม่แน่นอนเรื่องผลการประชุม OPEC
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังคงได้ปัจจัยบวกจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกฎหมายที่มาของ ส.ส.ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้เกิดความชัดเจนขึ้นว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562 แต่ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยบวกในประเทศ ที่จะสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของดัชนีอย่างชัดเจน แต่ในจังหวะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการอ่อนตัวลง บริษัทยังมองเป็นโอกาสทยอยลงทุนได้
ปักหมุดเชียร์เก็บกองทุนเด่น
ขณะเดียวกัน แนะนำให้ลงทุนในกองทุนเปิด วรรณ เอเอ็มเซ็ท 50 (1AMSET50) เน้นบริหารกองทุนแบบเชิงรุกในหุ้นขนาดใหญ่ภายใต้ดัชนี SET50 และเป็นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดีประมาณ 25-30 บริษัท เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (SET50 TOTAL RETURN) ซึ่งผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี กองทุน 1AM SET50-RA อยู่ที่ระดับ 16.83% 10.22% และ 5.67% ขณะที่ SET50 TOTAL RETURN อยู่ที่ระดับ 18.50% 6.55% และ 2.99%
ในส่วนของนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดต่างประเทศ บริษัทแนะนำกองทุนเปิด วรรณ อัลติเมท โกลบอล โกรว์ธ (ONE-UGG) มีนโยบายลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (กองทุนหลัก) เน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลก ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตโดดเด่นรองรับพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น กลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปฏิวัติเทคโนโลยี กลุ่มค้าปลีกออนไลน์ เพราะยังมีโอกาสการเติบโตที่ดี และยังได้รับความสนใจในการลงทุน โดย 3 อันดับแรกของพอร์ตการลงทุนจะให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศสหรัฐฯประมาณ 50% ประเทศจีนประมาณ 25% และแถบประเทศยูโรโซนประมาณ 10%