ผู้สื่อข่าว”มิติหุ้น” รายงานว่า บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส โดย ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า จากการประเมิน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP พบว่า แนวโน้มกำไรสุทธิช่วงไตรมาส 2/2561 มีโอกาสปรับตัวลดลงจากช่วงไตรมาส 1/2561 เหตุราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นและอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อ่อนลง แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง จะดีขึ้นโดยเฉพาะในส่วนธุรกิจโรงกลั่น (67% ของกำไรสุทธิ) สเปรดของน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นจากดีมานด์ที่แข็งแกร่งของจีน สเปรดน้ำมันกลั่นขั้นกลาง (น้ำมันเครื่องบิน, นํ้ามันก๊าด, น้ำมันดีเซล) ยังคงสูงเพราะอุปสงค์ที่เติบโตและระดับสต็อกต่ำ รวมทั้งอุปทานใหม่เข้ามาน้อยกว่าคาด สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์ (13% ของกำไรสุทธิ) ทั้ง PX และ BZ ยังมีแรงกดดันจากอุปทานใหม่ที่เข้ามา ดังนั้นแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 96.50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นยTOP ช่วงเช้านี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อบง โดยขณะนี้ราคาอยู่ที่ 88.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท เพิ่ม 0.57% มูลค่าการซื้อขายรวม 47.8 ล้านบาท
ด้าน นายชัชชัย สิริวิชช์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ TOP กล่าวว่า สำหรับค่าการกลั่น (GRM) ในปีนี้จะอยู่ที่ 5.5-6 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ 5.7-5.8 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้น่าทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 60เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ด้านกระแสเงินสดของบริษัทปัจจุบันสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท โดยประเมินว่ายังเพียงพอต่อการขยายธุรกิจ และ รองรับการเติบโตของบริษัทภายในปีนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยการลงทุนโครงการ CFP อยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจทำให้กระแสเงินสดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นบริษัทจึงมองหาเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เช่น การออกหุ้นกู้ หากดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะบริษัทต้องการล็อคต้นทุนทางการเงิน โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3/61