บลจ.ทาลิส ชี้สงครามการค้า-ดอกเบี้ยสหรัฐ กระทบหุ้นไทยผันผวนระยะสั้น เผยเป็นโอกาสลงทุนระยะยาว เหตุพีอีต่ำสุดในรอบ 2 ปี

63

มิติหุ้น-นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด มองปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทย เป็นผลมาจากความกังวลของนักลงทุนกับประเด็น ของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่เพิ่มความร้อนแรงและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และยังหาบทสรุปของทั้ง2 ฝ่ายไม่ได้ รวมถึงปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาในรอบที่ผ่านมาที่ได้ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง โดยคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อีก 2ครั้ง จากที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอีก 1 หรือ 2 ครั้ง

ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อค่าเงินของตลาดเกิดใหม่ ทำให้เงินในตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่ต่างๆ ที่ไปลงทุนในหุ้นหรือในตราสารหนี้เกิดการไหลออก โดยทั้งสองปัจจัยที่กล่าวมา เป็นปัจจัยที่กระทบกับสินทรัพย์เสี่ยงทั้งในช่วงระยะสั้น กลางและยาว เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาอีก 2 ครั้งในปีนี้ และแนวโน้มที่คาดว่าจะมีการปรับอีก 3 ครั้งในปีหน้า และอีก 1 ครั้งในปี 2020 โดยแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยยังคงมีอย่างต่อเนื่องได้อีก ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลว่าดอลลาร์ในระยะยาวจะแข็งค่าและค่าเงินในตลาดเกิดใหม่จะอ่อนค่า ซึ่งเป็นกังวลว่าอาจจะมีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่องได้อีกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

ในส่วนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนคาดว่าจะไม่ได้จบภายในเร็ววัน ดังนั้นบทสรุปของการเจรจาว่าจะเป็นไปในทิศทางใดยังเป็นสิ่งที่ตลาดมีความกังวลและเฝ้าระวังว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ ส่งผลให้ดัชนีมีความผันผวนในช่วงนี้ ต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์กันต่อไปเนื่องจากเป็นเรื่องของคู่ค้าสหรัฐอเมริกากับจีนที่อาจจะต้องใช้กลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองซึ่งกัน คาดว่าจะใช้เวลาซักระยะหนึ่งตราบใดที่สงครามการค้าไม่บานปลายอยู่ในวงจำกัด ตลาดหุ้นจะเกิดการซึมซับสถานการณ์เข้าไปได้เอง ยกเว้นแต่สงครามการค้าบานปลายมากขึ้น กรณีนี้ตลาดหุ้นอาจจะได้รับผลกระทบในเชิงลบทั้งในระยะกลางและระยะยาว

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยพื้นฐานในเชิงเศรษฐกิจอีกตัวที่มีทิศทางเติบโตได้ดีคือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาสที่ 1  ที่เติบโตดีมาก และคาดว่าจะเติบโตได้ดีตลอดปี61 รวมถึงในปีหน้าด้วย ซึ่งผลประกอบการของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกส่วนใหญ่จะเติบโตอยู่ที่ 10% + – ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้นสิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นทั้งในระยะกลางและระยะยาวได้ดีเช่นกัน

จากปัจจัยดังกล่าวที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนสะท้อนให้เห็นถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ P/E ของตลาดหุ้นไทยต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี ถ้ามองในมุมของนักลงทุนระยะยาวก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้ซื้อหุ้นในราคาถูก แต่หากมองในมุมของนักลงทุนระยะสั้นเชื่อว่ายังคงเกิดความผันผวนอยู่ทั้งในช่วงของเดือนนี้จนถึงเดือนหน้า เนื่องจากต้องรอดูผลลัพธ์เรื่องการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสงครามการค้าทั้งสองประเทศในวันที่ 6 กรกฎาคมนี้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร ซึ่งถือเป็นประเด็นที่จะสร้างความผัวผวนให้กับตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมด เป็นปัจจัยที่นักลงทุนระยะสั้นจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด