AMANAH กำไรQ2ยังร้อนแรง กลยุทธ์ใหม่ส่งผลงานทุบสถิติ

217

มิติหุ้น – AMANAH ผลงานไตรมาส 2/61 แข็งแกร่ง หลังสินเชื่อยังขยายตัวตามเป้าหมาย พร้อมมองผลงานปีนี้ทุบสถติใหม่แบบถล่มทลายหลังปรับกลยุทธ์ลุยรถแลกเงิน ดันมาร์จิ้นพุ่งแรง

 

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง หรือ AMANAH โดยนายนันทพล พงษ์ไพบูลย์ กรรมการบริหาร กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ผลประกอบการปี 2561 จะมีการเติบโตโดดเด่นกว่าปีก่อน เป็นผลจากการปรับโมเดลธุรกิจมาทำสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ หรือ Auto to Money (ATM) ภายใต้สโลแกน “อะมานะฮ์ เงินด่วน” ซึ่งเป็นกลุ่มสินเชื่อที่สร้างผตอบแทนสูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น

ยอดปล่อยสินเชื่อเข้าเป้า1.5พันล.

ขณะที่บริษัทคาดว่าพอร์ตสินเชื่อรวมปี 2561 นี้จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 3 พันล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ราว 2.5 พันล้านบาท รวมทั้งตั้งเป้ายอดปล่อยสินเชื่อใหม่ไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทตั้งเป้าหมายควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ที่ไม่เกิน 7% ของพอร์ตสินเชื่อรวม ซึ่งตัวเลข NPL ในช่วงไตรมาส 1/2561 อยู่ที่ต่ำกว่า 7%

ด้านแหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม กล่าวว่า ผลประกอบการของ AMANAH ในไตรมาส 2/2561 จะเติบโตอย่างมีนัยยะเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 ที่มีกำไรสุทธิ 45.35 ล้านบาท เนื่องจากสินเชื่อยังมีการขยายตัวได้ต่อเนื่องแม้จะเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวค่อนข้างมาก และคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นของสินเชื่อปี

สเปรดสูง7%หนุนกำไรพุ่งแรง

ขณะที่ภาพรวมกำไรสุทธิปี 2561 จะมีทำสถิติสูงสุดแน่นอน และจะมีความโดดเด่นอย่างมาก หลังจากที่ AMANAH ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจด้วยการเน้นขยายสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งได้มีการลดสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อของ AMANAH ปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากอัตรากำไรของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์อยู่ในระดับสูงกว่าการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใหม่ รวมทั้งยังช่วยให้ปริมาณการปล่อยสินเชื่อของ AMANAH เพิ่มสูงขึ้นด้วย เนื่องจาก AMANAH มีข้อจำกัดในเรื่องของเงินทุนซึ่งแหล่งเงินทุนเกือบทั้งหมดของ AMANAH มาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน

ขณะที่ในปีนี้ทางผู้บริหารของ AMANAH ตั้งเป้าการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 5% จากปัจจุบันที่มีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาท รวมทั้งคาดว่าจะสามารถรักษาระดับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือสเปรดไว้ที่ระดับ 6-7% รวมทั้งวางเป้าหมายในการลดระดับหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 3 เท่า

www.mitihoon.com