ความไม่แน่นอนจากเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่มีรุนแรงและสร้างความวิตกต่อตลาดหุ้นโลก ก็กระชากตลาดหุ้นให้ปรับตัวลงไปต่อเนื่อง ถือเป็นปัจจัยต่างประเทศหลักๆในตอนนี้ และล่าสุดวานนี้ก็มีข่าวออกมาว่าสหรัฐฯจะจำกัดการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศใน 10 อุตสาหกรรม นั่นจึงทำให้หุ้นไทยเมื่อวันจันทร์ (25 มิ.ย.) ปิดตลาดปรับตัวลดลงไปอีก 12.70 จุด ปิดที่ 1,634 จุด ณ ตอนนี้ตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยโดนแรงเทขายต่อเนื่อง และคาดว่านักลงทุนจะยังทยอยลดความเสี่ยงต่อ ขณะเดียวกันทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง นับเป็นการลงทุนที่อาจจะยากในช่วงนี้ หากสถานการณ์ของสงครามการค้ายังไม่หยุดขึ้นภาษีนำเข้าใส่กัน ซึ่งต้องจับตาดูว่า SET จะลงไปถึงระดับ 1,600 จุดหรือไม่ การลงทุนจึงต้องเลือกเป็นรายตัวพร้อมกับรอจังหวะเข้าซื้อ
สำหรับสัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายนและสิ้นสุดช่วงไตรมาสที่ 2 จึงน่าจบตาดูเรื่อง Window Dressing ที่จะเกิดขึ้น นั่นคือการที่ในช่วงก่อนปิดงบการเงิน เช่น ทุกสิ้นไตรมาสหรือสิ้นปี นั้นนักลงทุนสถาบันหรือกองทุนรวมจะใช้กลยุทธ์การปรับปรุงพอร์ตให้กลับมาสอดคล้องกับนโยบายการลงทุน จากข้อมูลในอดีตที่ ของ KTBST พบว่าในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของไตรมาสที่ 2 (ตั้งแต่ปี 2010-2017) เราพบว่า SET Indexมีการปรับตัวขึ้น 6 ครั้ง จากทั้งหมด 8 ครั้ง คิดเป็นค่าเฉลี่ยที่ 1.7% ในขณะเดียวกันนักลงทุนสถาบันในประเทศมีสถานะเป็นซื้อสุทธิจำนวน 6 ครั้งจากทั้งหมด 8 ครั้ง ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ KTBST ได้คัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะมีโอกาส Outperform SET Index ในช่วง window dressing ของไตรมาสที่ 2 นี้ (ช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของเดือนมิถุนายน) โดยเลือกหุ้นที่มีจำนวนกองทุนรวมในประเทศถือครองมากที่สุด ได้แก่ ADVANC, BDMS, IVL, PTT, PTTEP และ AOT รวมทั้งหุ้นจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักจะปรับตัวขึ้นในช่วง window dressing ในอดีต ได้แก่ กลุ่มธนาคาร, กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มโรงพยาบาล รวมไปถึง หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและคาดว่าจะให้ dividend yield สูง หุ้นที่เป็น top picks ของ KTBSTได้แก่ BBL, KBANK, BH, BJC, CPN และ SPALI
ส่วนปัจจัยสนุนในหุ้นที่เลือก คือ กลุ่มพลังงานมีปัจจัยบวกระยะสั้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น, กลุ่มโรงพยาบาลที่คาดว่าจะยังคงมีผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดี , กลุ่มสื่อสารที่คาดว่าจะมีความชัดเจนเรื่องการประมูลคลื่นอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมนี้ และกลุ่มอสังหาริมทรัพ์ที่คาดว่าจะให้เงินปันผลดี ส่วนหุ้นกลุ่มแบงก์มีเพียงบางตัวเท่านั้นเนื่องจากยังไม่มีปัจจัยลบเรื่องผลประกอบการไตรมาส 2 ที่อาจกดดันราคาหุ้นได้
อย่างไรก็ตามการลงทุนในระยะนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังและติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องนะครับ สินทรัพย์อื่นที่ KTBST แนะนำเพื่อกระจายความเสี่ยงในช่วงนี้ได้แก่ ตราสารหนี้ที่สินทรัพย์ค้ำประกัน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ รวมถึงทองคำ …
ชาตรี โรจนอาภา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST)