ครึ่งปี ต่างชาติทิ้ง 1.8 แสนล. หุ้นไทยเสี่ยงลงต่อ

115

ผ่านครึ่งทาง สำหรับหุ้นไทยปี 2561 ดัชนีปิด 29 มิ.ย.2561 ที่ระดับ 1,595.58 จุด ลดลง 3.96 จุด มูลค่าซื้อขาย 64,495.19 ล้านบาท

มูลค่าซื้อขายสะสมของนักลงทุนแต่ละกลุ่ม ตั้งแต่ต้นปีจนถึงล่าสุด (1 ม.ค.-29 มิ.ย.) ต่างชาติขายสุทธิ 180,076.55 ล้านบาท กองทุน ซื้อสุทธิ 76,971.31 ล้านบาท บัญชีโบรกเกอร์ ขายสุทธิ 11,172.53 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 114,277.77 ล้านบาท

หุ้นไทยเจอพิษสงครามการค้า โดนเทขาย กดดัชนีปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนหลุดระดับ 1,600 จุด ขณะที่นักวิเคราะห์เริ่มปรับคาดการณ์ดัชนี โดยมองว่า “เสี่ยง” ที่จะลงไปแตะระดับ 1,550 จุดได้

ขณะที่ “เงินบาท” อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ล่าสุดอ่อนค่าลงมาหลุด 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแล้ว

สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า สัปดาห์นี้ ยังคงต้องตาม ได้แก่ ประเด็นข้อพิพาทการค้าสหรัฐฯ กับจีนเป็นประเด็นหลัก ขณะเดียวกัน จีนมีแนวโน้มที่จะทำให้เงินหยวนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาการค้าดังกล่าว  นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อกระตุ้นการให้สินเชื่อด้วย ซึ่งการที่สินเชื่อในระบบธนาคารจีนยังขยายตัวสูงมากอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความเสี่ยงในภาคการเงินของจีนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

สำหรับภายในประเทศไทย สัปดาห์นี้ กระทรวงพาณิชย์ จะมีการรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของไทยประจำเดือน มิ.ย.2561 ซึ่งต้องจับตาดูว่าตัวเลขเงินเฟ้อของไทยจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหรือไม่

สำหรับมุมมองต่อภาวะตลาดการเงิน ซีไอเอ็มบี ไทย ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา (22-29 มิ.ย.61) เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ ตามปัจจัยเรื่องเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าและปัจจัยเรื่องแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังส่งผลกดดัน

ส่วนเงินหยวนของจีน สัปดาห์ที่ผ่านมาอ่อนค่าอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากธนาคารกลางจีนกำหนดค่ากลางของหยวนให้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางของจีนจะปล่อยหยวนให้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน

ทั้งนี้ คาดว่าสัปดาห์นี้ (2-6 ก.ค.61) เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.80-33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยยังต้องจับตาประเด็นข้อพิพาทการค้าสหรัฐกับจีน และประเทศคู่ค้าสำคัญเป็นประเด็นหลัก

หุ้นไทยจะเสี่ยงที่จะปรับลดลงต่อ

                                                                                “บิ๊กเซ็ต”