เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้ไปพูดในงานสัมมนา เรื่อง “อนาคตเศรษฐกิจการเงินไทย ท่ามกลางสงครามการค้า สหรัฐ-จีน” ซึ่งจัดโดยชมรม THAI INVESTOR CLUB ณ สมาคมธรรมสาสตร์ ซ.งามดูพลี
โดยพบว่า สถานการณ์เศรษฐกิจการเงินไทยในไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.61) ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ภายหลังสงกรานต์ ดัชนีหุ้นไทยเริ่มไหลลง จากระดับ 1,810 จุด ไหลลงตลอดเดือน พ.ค. ดังคำกล่าวว่า “SELL IN MAY, THEN GO AWAY” อันเนื่องมาจาก การประกาศขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เมื่อราววันที่ 15 มี.ค.61 แม้จะมีความพยายามซื้อหุ้นสู้โดยกองทุนไทย แต่ก็ต้านไม่อยู่ ยิ่งมีข่าว กองทุนฝรั่งระดมเทขายหุ้นไทย และขายเงินบาท เปลี่ยนเป็นเงิน US DOLLAR แล้วโอนเงินดอลล์นั้นกลับอเมริกา
เดือน พ.ค. ดัชนี SET ร่วงลงมาแตะ 1,720 จุด เรานึกว่าแย่แล้ว แต่มีแย่กว่า เมื่อดัชนี SET รูดต่อตลอดเดือน มิ.ย. จาก 1,740 จุด ลงไปต่ำสุดถึง 1,590 จุด เพราะข่าว Trump จะลุยต่อต้านสินค้าจีน เพื่อลดยอดขาดดุลการค้าสหรัฐ-จีน ที่ขาดดุลสูงถึงปีละ 400,000 ล้านเหรีญ ด้วยการขึ้นภาษีขาเข้าสินค้าจีน รอบแรกราว 1,300 รายการ เป็นมูลค่า 34,000 ล้านเหรียญ ขึ้น 25% แบบยกแผง
ต่อมาต้นเดือน ก.ค. วันพุธที่ 11 ก.ค.61 หลังจากจีนประกาศตอบโต้สหรัฐด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐกว่า 300 รายการ มูลค่า 34,000 ล้านเหรียญเช่นกัน ประธานาธิบดี Trump เดือดจัด เหมือนหมาป่า ประกาศขึ้นภาษีแบบเหมาอีก 10% คราวนี้เป็นมูลค่าสูงถึง 200,000 ล้านเหรียญ เพื่อกดดันจีนเพิ่มอีก รอบนี้จีนไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรดี เพราะจีนส่งสินค้าเข้าสหรัฐปีละ500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ซื้อสินค้าสหรัฐแค่ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีสหรัฐได้อีกแค่ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็หมดแล้ว
ผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยยังคงถูกกดดันอย่างหนักต่อไป ทั้งจากกระแสเงินทุนไหลออก (Capital Cutflow) ออกจากประเทศ EM. (Emerging Market) กลับไปสู่สหรัฐ เพราะดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ที่ทยอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จน Fed Fund Rate ขึ้นมาถึง 1.75-2.0% ในขณะนี้
ในระยะสั้น ดัชนีหุ้นไทยพยายามจะดันให้ทะลุเส้นแนวต้านที่ระดับ 1,640 จุด และ1,650 จุดให้ได้ เพื่อจะขึ้นต่อไปให้ถึงแนวต้าน 1,680 จุดให้ได้ คงต้องลุ้นกันต่อ
“พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ”