หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ปรับลดปริมาณการผลิตเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับ 65-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และล่าสุด สหรัฐอเมริการได้ประกาศคว่ำบาตรอิหร่านส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก
โดยกูรูด้านพลังงานหลายสำนัก ต่างฟันธงว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก “จะทรงตัวในระดับเดียวกันกับที่กลุ่มโอเปกพยายามรักษาเสถียรภาพไว้”
หากราคาน้ำมันปีนี้เฉลี่ยในระดับดังกว่า แน่นอนว่าอานิสงส์ต่อกลุ่ม บมจ.ปตท.หรือ PTT ที่จะเป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการของกลุ่ม ปตท.เกือบทุกบริษัท ไม่ว่าจะเป็น PTTEP ผู้ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม, PTTGC, TOP และ IRPC กลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับต้นทุนราคาเชื้อเพลิงของแต่ละบริษัท รวมถึงต้นทุนอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
อย่างไรก็ตาม จากผลงานช่วงไตรมาส 2/2561 บริษัทลูก ปตท.ได้ทยอยแจ้งผลประกอบการกันบ้างแล้ว ซึ่งบริษัทในกลุ่มที่เป็นโรงกลั่น อย่าง PTTGC, TOP และ IRPC ทำกำไรออกมาโตได้อย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ PTTEP แม้กำไรจะลดลง แต่ไม่ระคายเคียงผลประกอบการ PTT
โดยนักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเมินว่า ไตรมาส 2/2561 จะมีกำไรสุทธิ 31,000 ล้านบาทอาจจะลดลงเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่หากคิดกำไรจากการดำเนินงาน คาดมีกำไร 36,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบไตรมาส 1/2561 และช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนภาพรวมปี 2561 โบรกประเมินกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 135,213 ล้านบาท เฉือนกำไรปี 2560 เพียงเล็กน้อยที่มีกำไร 135,179 ล้านบาท
ต้องลุ้นกันว่า PTT จะโกยกำไรเท่าไหร่ จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่…รู้กัน
“บิ๊กเซ็ต”
