ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ (1-5 ต.ค.) ประเด็นเศรษฐกิจและการลงทุนที่ต้องจับตามองคือ เรื่องกระแสเงินลงทุน (Fund Flow) หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาและมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอีกเป็นครั้ง 4 ในปีนี้ บวกกับประเด็นเรื่องสงครามการค้าของสหรัฐฯกับจีนที่ยังคลุมเครือทำให้นักลงทุนยังคงกังวลต่อทิศทางตลาดหุ้น แม้ว่าตลาดหุ้นและค่าเงินในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ได้ปรับตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์ก่อนก็ตาม แต่หากสงครามการค้ายังยืดเยื้อต่อไปอาจกลับมากระทบกับตลาดได้อีกระลอก ซึ่งการที่สหรัฐฯปรับขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้ธนาคารกลางของหลายประเทศพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามเพื่อป้องกันการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยด้วยปัจจัยในประเทศที่แข็งแกร่งคาดว่าตลาดหุ้นไม่น่าเผชิญแรงขายมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในตลาดเกิดใหม่
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ล่าสุดแตะระดับ 82 เหรียญฯ เป็นระดับสูงกว่าที่สหรัฐฯและซาอุดิอาระเบียได้ตั้งเป้าไว้ ซึ่งอาจเป็นบวกเพียงผู้ผลิตน้ำมัน แต่จะส่งผลลบให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมาและกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ KTBST มองว่าหากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมาและทรงตัวที่ระดับ 80 เหรียญฯ หรือต่ำกว่าจะเป็นการส่งผลบวกต่อตลาดมากกว่า
ส่วนปัจจัยในประเทศ ประเด็นเด่นตอนนี้คือเรื่องกระแสการเลือกตั้งที่เริ่มคึกคักมากขึ้นจากการที่พรรคการเมืองต่างๆมีการเปิดตัวหัวหน้าพรรคกัน ซึ่งตลาดหุ้นก็รับผลบวกจากการคาดการณ์วันเลือกตั้งว่าจะเป็นวันที่ 24 ก.พ. 62 พร้อมด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐที่เกิดขึ้นตามมาและที่สำคัญตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไปนักลงทุนจะเริ่มให้ความสนใจกับการประเมินว่าพรรคการเมืองใดจะชนะการเลือกตั้งและเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
อีกประเด็นคือการประเมินกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 เบื้องต้นคาดว่าน่าจะสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปีที่ผ่านมามีฐานกำไรที่ต่ำอยู่ที่ 1.95 แสนล้านบาท KTBST ประเมินกำไรตลาดหุ้นไตรมาส 3 ปีนี้ไม่น่าต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท โดยนักลงทุนจะเริ่มเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นที่จะมีการประกาศงบเป็นกลุ่มแรกๆ คือกลุ่ม ธนาคาร,น้ำมัน,ปิโตรเคมี KTBST ประเมินเบื้องต้นว่ากลุ่มธนาคาร 9 แห่งน่าจะเติบโต 9.8% YoY แต่ลดลง 3.5% QoQ
สำหรับการลงทุนในสัปดาห์นี้ KTBST ประเมินกรอบ SET Index ที่ 1,740-1,780 จุด ด้วยมุมมองที่ว่าปัจจัยต่างประเทศที่ยังเป็นตัวกระทบตลาดอยู่จึงยังส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยให้มีการปรับฐานได้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์นี้ควรเลือกขายหุ้นที่ขาดปัจจัยหนุนหรือราคาขึ้นมามาก และเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน โดยเฉพาะปัจจัยบวกจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเรื่องการเลือกตั้ง หรือหุ้นที่ผลประกอบการในไตรมาส 3 มีแนวโน้มดี
ได้แก่ ROBINS, STEC, WHA, PLANB รวมถึงและหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวหรือราคาลงมามาก เช่น GULF, BCH, COM7 , TKN, GUNKUL
www.mitihoon.com