หลังจากสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรอิหร่าน ส่งผลให้ราคาดิบตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในระดับ 80-85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และหากสหรัฐฯ คว่ำบาตรร้อยเปอร์เซ็น จะทำให้น้ำมันที่ส่งออกจากอิหร่านหายไปจากตลาด 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน คาดว่าจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 90-100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เรียกว่าสูงสุดในรอบ 4 ปีเลยทีเดียว
ราคาน้ำมันแพงขนาดนี้ แน่นอนว่าส่งผลดีต่อกลุ่ม บมจ.ปตท. หรือ PTT ที่มีบริษัทลูกทำธุรกิจน้ำมัน ตั้งต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็น PTTEP, PTTGC, TOP รวมทั้ง IRPC ได้รับอานิสงส์ไปเต็มๆ
หากสิ้นปี ราคาน้ำมันยังยืนอยู่ในระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีโอกาสที่ PTT จะทำกำไรได้ในระดับ 1 แสนล้านบาท หรืออาจจะมากกว่าปี 60 ที่มีกำไรสุทธิ 1.35 แสนล้านบาท ส่วนบริษัทลูกก็มีโอกาสทำกำไรเติบโตกันทั่วหน้าเช่นกันครับท่าน
มาทางฟากประชาชน แน่นอนว่ารับผลกระทบเต็มๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งมีโอกาสขึ้นราคาโดยสารหรือค่าขนส่ง ก็จะกระทบสองเด้งต่อประชาชนทั่วไป เมื่อขึ้นราคาโดยสาร ประชาชนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ส่วนคนที่มีรถ แน่นอนต้องควักกระเป๋าเติมน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานมีมาตรการดูแลค่าครองชีพประชาชน ด้วยการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มาดูแลดีเซลไม่เกิน 1 บาทต่อลิตร ภายใต้วงเงิน 6 พันล้านบาท เพื่อดูแลดีเซลราคาไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งมั่นใจเพียงพอดูแลได้ถึงสิ้นปีนี้ แต่ถ้าราคาน้ำมันขึ้นถึงระดับ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีโอกาสที่จะปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลแน่ๆ
เรียกได้ว่า ภาคเอกชนยิ้มหวาน ส่วนประชาชนยิ้มหน้าแห้ง
“บิ๊กเซ็ต”