ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค หรือ ECF โดยนายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะซื้อหุ้นคืน หากมีเหตุจำเป็น หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง 2 วันติดต่อกัน โดยมี 2 แนวทาง คือ เสนอคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการซื้อในนามบริษัท หรือเป็นการซื้อในนามส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการซื้อหุ้นคืนหรือไม่ ซึ่งยังคงต้องติดตามผลประกอบการของไตรมาส 3/61 ก่อน
ส่วนกระแสข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกับ “นายกระทรวง จารุศิระ” นั้น นายกระทรวงเป็นเพียงคนกลางในการนำธุรกิจมาเสนอให้เมื่อ 1-2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทรับพิจารนาไว้เพียงเท่านั้น โดยที่ผ่านมาก็มีบริษัทนำธุรกิจมาเสนอให้ลงทุนอยู่หลายธุรกิจ ซึ่งหากมีความเหมาะสม และมีโอกาสเติบโตในอนาคต บริษัทจะมีการพิจารณาการลงทุน หากขนาดของธุรกิจเหมาะสม
ส่วนการเข้ามาถือหุ้น ECF ของบิดา นายกระทรวง เป็นการซื้อหุ้นบิ๊กล็อตช่วง พ.ค.-มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งซื้อต่อจากบิดานายวัลลภ สุขสวัสดิ์ ผ่านการแนะนำของนายชาลี สุขสวัสดิ์ ผู้เป็นพี่ชาย นั้น ตนเองไม่ทราบเรื่อง
สำหรับธุรกิจของบริษัท ยังเดินหน้าตามแผน โดยในปี 61 ยังเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อลงทุนในธุรกิจ “ไอที” โดยบริษัทคาดหวังจะถือหุ้นมากกว่า 51% ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปและเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารนาในวันที่ 9 พ.ย.นี้ และสรุปการลงทุนไม่เกินช่วงเดือน ก.พ.62 ทั้งนี้ หากผ่านการอนุมัติก็จะเสนอในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นต่อไป ส่วนรายระเอียดต่างๆ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้าภายใน 3-5 ปี (62-66) รายได้จะเติบโตอยู่ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และการรับรู้กำไรจากธุรกิจพลังงาน โดยหลังจากนี้บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ 30% พลังงาน 30% ไอที 30% และอื่นๆ 10%
ส่วนเงินทุนนั้น บริษัทมีใบสำคัญแสดงสิทธิ (W2-W3) ที่รอแปลงสภาพมูลค่าอีก 900 ล้านบาท รวมถึงมีแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินหลายแห่ง ซึ่งมีศักยภาพในการเข้าลงทุนได้ประมาณ ซึ่งบริษัทมีความสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 2,000-3,000 ล้านบาท ต่อหนึ่งธุรกิจ
www.mitihoon.com