มิติหุ้น-บล.โกลเบล็ก ประเมินหุ้นไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2561 ยังคงมีปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะช่วงเดือนพ.ย.ที่ยังคงเป็นตัวแปรหลักสำคัญด้านการลงทุน ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมือง รวมถึงตัวเลข GDP ปี 2561 อยู่ที่ระดับ 4.4 – 4.8% พร้อมทั้งการเปิดประมูลโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และเม็ดเงินกองทุน LTF/RMF ที่คาดว่าจะสามารถเข้ามาพยุงตลาดหุ้นในช่วงปลายปี แนะสะสมหุ้นกลุ่มธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง และหุ้นกลุ่ม mai
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยถึงแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงโค้งสุดท้ายของปี2561ว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศยังคงเป็นแปรหลักที่สำคัญที่เข้ามาฉุดภาพรวมการลงทุน อีกทั้งเรื่องสงครามการค้าที่ยังคงยืดเยื้อและอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมเดือนธันวาคม และ fund flow ไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงจากค่าเงินที่อ่อนค่า
ทั้งนี้ปัจจัยที่นักลงทุนยังคงต้องจับตาหลังจากนี้ คงเป็นกรณีการที่จะจัดให้การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ รวมถึงการกำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 7-8 พ.ย. , กำหนดประชุมกนง. ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม โดยจะเกิดขึ้นวันที่ 14 พ.ย. และ การกำหนดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่18-19 ธ.ค. ( นักวิเคราะห์คาดว่าที่ประชุมฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%) และในวันที่ 19 ธ.ค. กำหนดประชุมกนง. โดยคาดว่าที่ประชุมอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากดัชนีเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแรงชนกรอบเป้าหมายที่ระดับ 1.25%
ขณะที่ปัจจัยในประเทศนั้น ทางGBS มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ยังมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 ที่มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงความคืบหน้าในการเตรียมตัวของพรรคการเมือง ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจประเทศไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดย Consensus คาด GDP ปี 2561 อยู่ที่ระดับ 4.4 – 4.8% รวมถึงการเปิดประมูลโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และเม็ดเงินกองทุน LTF/RMF ในช่วงปลายปีที่จะเข้ามาช่วยพยุงภาพรวมตลาดหุ้นไทย
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2561 ยังคงผันผวนอยู่ในกรอบ 1,650 – 1,800 จุด โดยแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้น เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวจากภาวะตลาด อาทิ หุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในช่วงปลายปี ทำให้มีการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ดังนั้นแนะนำ TMB, KKP และ KBANK พร้อมทั้งยังแนะนำหุ้น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากได้ประโยชน์จากการเร่งประมูลโครงการขนาดใหญ่ช่วยเติม backlog อาทิ CK
นอกจากนี้ ทางฝ่ายวิจัย ยังจัดทำบทวิเคราะห์และประเมินผลภาพรวมผลการดำเนินงานหุ้นในกลุ่มmai โดยประเมินถึงผลประกอบการด้านกำไรที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นจึงแนะนำ หุ้นDOD ให้ราคา 17.50 บาท โดยคาดกำไรสุทธิ 2H61 เติบโตราว 200% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการมีลูกค้ารายใหม่ที่คาดจะเริ่มผลิตได้ในช่วงปลาย 3Q61 , หุ้น XO ราคาเหมาะสม 13 บาท คาดอัตรากำไรขั้นต้นตั้งแต่ 3Q61 จะปรับตัวขึ้นราว 2-3% สู่ระดับ 39-40% หนุนกำไรปี 2561 เติบโต 210%
หุ้น CHAYO ราคาเหมาะสม 4 บาท คาดกำไรสุทธิเติบโต 29% YoY จากการรับรู้รายได้กองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมีหลักประกันใน 2H61 , หุ้น TACC ราคาเหมาะสม 5 บาท คาดว่ากำไรในช่วง 2H61 จะเริ่มทยอยเห็นการพลิกฟื้นจากฐานที่ต่ำใน 1H61 และพลิกกลับมาเติบโตได้ในปี 2562 , หุ้น SSP ราคาเหมาะสม 11.20 คาดแนวโน้มกำไรสุทธิ 2H61 เติบโต 14% HoH จากโครงการที่เริ่ม COD ตั้งแต่ 1 ส.ค. และโครงการอื่นๆจะทำได้ตามกำหนดการ มีบางโครงการเร็วกว่ากำหนด หุ้น JKN ราคาเหมาะสม 13.40 บาท
กลยุทธ์มุ่งส่งออก Content ลูกค้า CLMV หนุนรายได้ส่งออกปี 61 โตเกินเป้า 120 ล้านบาท และหุ้น AUCT ราคาเหมาะสม 8.25 บาท คาดยอดขาย 2H61 จะเร่งตัวขึ้นจาก 1H61 ตามปัจจัยฤดูกาล ประกอบกับยอดขายรถใหม่ภายในประเทศปีนี้เติบโตดี
www.mitihoon.com