บรรยากาศการลงทุนสัปดาห์ที่ผ่านมาแย่กว่าคาด ปรับลงหลุดจุด Stop loss ที่เราแนะนำคือ 1650 จุด ดังนั้นสำหรับนักลงทุนที่ขายตัดขาดทุนไปแล้วอาจ Wait&See รอดัชนีสร้างฐานใหม่ โดยประเมินกรอบแนวรับที่บริเวณ 1610 – 1600 จุด / แนวต้าน 1655 – 1660 จุด
หุ้นกลุ่มหลักที่กดดันดัชนีขณะนี้ได้แก่ หุ้นกลุ่มอสังหาฯและพลังงาน โดยเราเชื่อว่านักลงทุนมองข้ามผลการดำเนินงานที่เติบโตเด่นใน 3Q61 เนื่องจากแนวโน้มที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะชะลอตัวลงในอนาคต โดย
- หุ้นกลุ่มอสังหาฯ แม้ผลการดำเนินงานจะโดดเด่นใน 3Q61 และมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นใน 4Q61 แต่คาดว่าเป็นผลจากการเร่งระบายสต๊อกเพื่อเลี่ยงการบังคับใช้มาตรการป้องกันภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาฯ ขณะเดียวกันแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2562 มีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงชัดเจนทั้งผลจากมาตรการฯ, แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น, และความเสี่ยงที่ธนาคารพาณิชย์จะคุมเช้มสินเชื่อสังหาฯ ทำให้ผู้บริหารหุ้นกลุ่มอสังหาฯหลายบริษัทฯตัดสินใจปรับเป้าหมายการเปิดตัวโครงการใหม่ๆลง เพื่อรอดูสถานการณ์สภวะอุตสาหกรรมฯ ซึ่งหากกรณีที่ภาคอสังหาฯชะลอตัวลงเราประเมินว่าจะกระทบต่อหุ้นอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ หุ้นกลุ่มค้าปลีก HMPRO, GLOBAL (ยอดขายเฟอร์นิเจอร์, วัสดุฯ อาจชะลอตัวลงตาม) / หุ้นกลุ่มวัสดุฯ SCC, SCCC, DCC, TOA (ยอดขายวัสดุฯ อาจชะลอตัวลง) / หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ SCB (ยอดสินเชื่อภาคอสังหาฯ อาจชะลอตัวลง) เป็นต้น
- หุ้นกลุ่มพลังงาน ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรง (และเร็ว) กว่าคาด หากฟื้นตัวไม่ทันช่วงเดือน ธ.ค. มีความเสี่ยงที่หุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำจะต้องมีการบันทึกขาดทุนสต๊อกน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ EPS ในภาพรวมของ SET index ได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากกำไรของกลุ่มนี้มีน้ำหนักมากในดัชนี SET index อย่างไรก็ดี ในวิกฤตยังมีโอกาส เมื่อราคาน้ำมันดิบปรับลงแรง หุ้นกลุ่มที่ต้นทุนหลักอิงกับราคาน้ำมันดิบ ก็มีโอกาสที่อัตรากำไรจะฟื้นตัวขึ้น เช่น กลุ่มขนส่งและสายการบิน (AAV, BA) กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก (EPG) เป็นต้น
สำหรับประเด็นเรื่อง Valuation ของ SET index นั้น เรายังคงมุมมองเดิมว่าอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่เร่งตัวขึ้นแรงและเร็วกว่าคาด ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนนั้นในปีนี้ยังเร่งตัวขึ้นตามไม่ทัน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดประมาณการฯโดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน ประเด็นเรื่องของ Cyclical adjusted PE: CAPE หรือ PE ที่คำนึงถึงเรื่องวัฏจักรเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไว้ในการคำนวณที่ปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูงเกือบ 20 เท่า แสดงให้เห็นว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยนอกจากเร่งตัวขึ้นไม่ทันดอกเบี้ยรอบนี้แล้ว ในระยะยาวที่ผ่านมายังปรับขึ้นหนีเงินเฟ้อไม่ได้อีกด้วย สามารถดูรูปเพิ่มเติม ในบทวิเคราะห์ Quantamental ประจำเดือน พ.ย.2561 ของฝ่ายวิจัยฯ บล เคจีไอ (ประเทศไทย) เราจึงอาจสรุปได้ว่า ณ ตอนนี้ หากใช้ประมาณการฯปี 2561 ในการคำนวณ Valuation ของ SET index นั้น “ไม่ถูก” จึงแนะนำ นักลงทุน เลือกซื้อลงทุนหุ้นเป็นรายตัวที่แนวโน้มผลการดำเนินงานยังดี หรือมี ธีมการลงทุนเฉพาะตัว เช่น กลุ่มรับเหมาฯ (CK, STEC, SEAFCO, PYLON) กล่มนิคมฯ (AMATA) กลุ่มสายการบิน (AAV, BA) กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (KTB) เป็นต้น
โดยสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย
บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)