ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU โดยนายบัลลังก์ ไวยานนท์ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ เปิดเผยว่า บริษัทคาดอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ปี61 จะเติบโตตามเป้า 14-15% ดีกว่าปีก่อนที่ 13.8% หลังจากไตรมาส 3/61บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ราคาปลาทูน่าเริ่มลงมาอยู่ที่ 1,500 – 1,800 เหรียญ/ตัน ซึ่งเป็นระดับราคาที่บริษัทสามารถควบคุมได้ ทำให้บริษัทมีเสถียรภาพมากขึ้น
ทั้งนี้บริษัทยอมรับว่ายอดขายสกุลเงินบาทปี 61 ลดลง หลังจาก 9 เดือนแรกยอดขายติดลบ 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมา โดยในช่วงไตรมาส1/61 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 10% ไตรมาส2/61 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% ส่วนไตรมาส3/61 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 3-4% และคาดว่าทั้งปีค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นราว 5-6% ประกอบกับราคาวัตุดิบที่ปรับตัวลงแรงทำให้ธุรกิจรับจ้างผลิตมียอดขายที่ลดลง จึงทำให้ยอดขายทั้งปีของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโต 5%
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/61 คาดว่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่คาดปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/61 เนื่องจากไตรมาส 3 เป็นช่วงของไฮซีซั่นของธุรกิจ
ในขณะที่ธุรกิจโรงงานผลิตแซลม่อนในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณา ฝว่าจะทำการขายหรือหยุดกิจการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปในช่วงสิ้นปี 61 นี้