SET Index เดือน พ.ย. ยังอ่อนแรงเนื่องจากตลาดยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุน นักลงทุนยังวิตกกังวลกับปัญหาสงครามการค้าและเลือกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนในการประชุม G20 ในช่วงปลายเดือน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงเนื่องจากกังวลซัพพลายจะล้นตลาด ขณะที่ดีมานด์ชะลอตัวจากปัญหาสงครามการค้า ด้านปัจจัยในประเทศนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจหลังจากสภาพัฒน์ประกาศตัวเลข GDP 3Q18 ขยายตัวเพียง 3.3% ชะลอตัวจาก 4.6% ใน 2Q18 และต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 4.2%
ขณะที่ Fund Flow ต่างชาติยังไหลออกไม่หยุด กดดันหุ้น Big Cap ปรับตัวลง นำโดยกลุ่มพลังงาน และ กลุ่มสื่อสาร ส่วนหุ้น Mid – small cap ถูกเทขายหนัก โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนหลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงทำสถิติต่ำสุดในรอบ 21 เดือน โดย SET Index เดือน พ.ย. (as of 28/11/2018) ลดลงอีก 28.5 จุด (-1.7%) ปิดที่ระดับ 1,641 จุด มูลค่าการซื้อขาย 40,665 ล้านบาท ลดลง 23.8%mom นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 14,041 ล้านบาท (YTD ขายสุทธิ 287,214 ล้านบาท)
สำหรับเดือน ธ.ค. ทางหลักทรัพย์กรุงศรีมองว่า SET index น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600 – 1,680 จุด โดยมีความคาดหวังจากประชุม G20 และ ประชุมกลุ่ม OPEC ออกมาในเชิงบวก แรงซื้อจากกองทุน LTF/RMF และ รัฐบาลประกาศปลดล็อคพรรคการเมือง จะช่วยหนุนดัชนี แต่ขณะเดียวกันเรายังมีความกังวลถึงมูลค่าการซื้อขายที่คาดว่าจะชะลอตัวลวก่อนเข้าสู่เทศกาลวันคริสต์มาส และ ปีใหม่ ขณะที่ Fund flow ต่างชาติยังไหลออก จากเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในการประชุมเดือนธันวาคม จะทำให้ SET ปรับขึ้นได้ไม่มาก (limit upside)
ทั่วโลกต่างเฝ้ารอการประชุมนอกรอบของ 2 ผู้นำ จีน และ สหรัฐ ระหว่างโดนัล ทรัมป์ และ สีจิ้นผิง เพื่อเจรจาคลี่คลายปัญหาสงครามการค้า ซึ่งจะมีขึ้นในการประชุม G20 ที่อาร์เจนติน่าในช่วงวันที่ 30 พ.ย. -1 ธ.ค. โดยมีแนวทางที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 3 แนวทาง คือ
1) Best Case คือ โดนัล ทรัมป์ และ สีจิ้นผิง สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าพร้อมลงนามยุติการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกัน แนวทางนี้นับเป็นแนวทางที่ดีที่สุดที่ทุกคนคาดหวังหากเกิดขึ้นจริงจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับในเชิงบวกทั้งในช่วงปลายปีต่อเนื่องไปยังปีหน้า
2) Base Case คือ สหรัฐชะลอการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนมูลค่า 267,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐออกไปก่อนโดยมีเงื่อนไขและกรอบเวลาให้จีนปฏิบัติตาม ซึ่งเรามองว่าเป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด หากผลเจรจาออกมาในแนวทางนี้คาด ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบรับในทางบวกเช่นกันแต่จะฟื้นตัวได้ในกรอบจำกัด เนื่องจากปัญหา Trade war ยังคงอยู่เพียงแค่ยืดเวลาออกไปเท่านั้น
3) Worse Case คือ โดนัล ทรัมป์ และ สีจิ้นผิงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ซึ่งจะผลักดันให้สหรัฐเร่งเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่มูลค่า 267,000 ล้านดอลลาร์ ทันที หากออกมาในแนวทางนี้เชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบรับในทางลบโดยเฉพาะตลาดที่พึ่งพาการส่งออก เพราะคาดว่าปัญหาสงครามการค้าจะทำให้ภาคการค้าของโลกชะลอตัวกดดัน GDP ของประเทศต่างหดตัวลง
โดยบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน)
www.mitihoon.com