ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.ทรีนีตี้ โดยนายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ ประเมินทิศทางเศรษฐกิจโลกปี 2562 ว่า เข้าสู่ภาวะอิ่มตัวไปแล้ว (Maturing Phase) โดยการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ โลกรวมทั้งเศรษฐกิจไทยว่าจะชะลอตัวลง โดยความกังวลของสงครามทางการค้าจีน-สหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ทําให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออาจจะคงอัตราดอกเบี้ยในปี2562 ซึ่งถือเป็นนโยบายการเงินที่เปลี่ยนไปจากปี 2560-2561 อย่างสิ้นเชิง จึงทําให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงปรับขึ้นมากไม่ได้ แต่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังคงมี เสถียรภาพ โดยคาดว่าจะเติบโต 3.8% ในปี 2562 เมื่อเปรียบเทียบกับเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะเติบโต 3.5%
ทั้งนี้มองภาพการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยและตราสารหนี้โลกปีนี้ เริ่มให้ผลตอบแทนที่น้อยลง หรืออาจจะติดลบ เมื่อ Mark to Market จึงทําให้ตลาดหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยคาดว่าเงินทุนเคลื่อนย้าย หรือ Fund Flow จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น เนื่องจากทุนเคลื่อนย้ายจะเคลื่อนเม็ดเงินตาม หา ผลตอบแทนที่ดีกว่า (Search for Yields) และตามค่าเงินสกุลภูมิภาคที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามประเมินว่า ตั้งแต่ต้นปี 2562 ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็น บวกประมาณ 1-4% เช่น น้ํามัน , หุ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว หุ้นในกลุ่มประเทศที่กําลังพัฒนา ทองคํา รวมทั้งหุ้นไทย โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ขายในตลาดหุ้นไทย 1.8 พันล้านบาทนั้น ถือว่าขายน้อยลง ประกอบกับสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยถือว่าเกือบต่ําสุดในรอบ 14 ปี โดยมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยอยู่ที่ 299% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป)
“นักลงทุนต่างประเทศเริ่มทําการซื้อสะสมในตลาดหุ้นเอเซีย (ยกเว้นจีน) กว่า 800 ล้านเหรียญในช่วง 2 สัปดาห์ แรกของ ม.ค.62 โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลไปลงทุนที่ประเทศเกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ประเมินว่าเงินทุนเคลื่อนย้าย จะไหลเข้าสู่ประเทศไทยในครึ่งปีหลังของปีนี้มากขึ้น โดยขณะนี้ต่างชาติได้เข้ามาซื้อให้เห็นบ้างแล้ว” นายวิศิษฐ์กล่าว
ขณะที่ประเมินตลาดหุ้นไทยปี 2562 มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยพื้นฐานเป้าหมายที่ Forward PE ที่ 15.6 เท่า หรือที่ SET Index ระดับ 1,800 จุด และมองการแกว่งตัวของ SET Inder ในปีนี้ว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,500 – 1,800 จุด โดยที่ประเมิน SET Index ที่ระดับ 1,500 เป็นระดับ Forward PE ที่ 13เท่า เท่านั้น และมองว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยจะสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ 10 ปี ที่ระดับ 4. 79% จึงถือเป็นจุดที่น่าสนใจในการลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 3 ในรอบ 4 ปี โดยในเดือน ม.ค.ปี 2560 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่า ตราสารหนี้ 5.49% และปี 2558 ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 4.74 %
นอกจากนี้ ยังพบว่านักลงทุนบุคคลในตลาดหุ้นไทย ได้เริ่มสนใจลงทุนในตลาด TFEX มากขึ้น เนื่องจากการ เคลื่อนไหวของ SET50 INDEX ใน TFEX เริ่มมีความเหวี่ยงตัว(Volatility) ระหว่างวันสูงขึ้น ซึ่งทําให้นักลงทุนบุคคลเริ่มมี ความสนใจในการลงทุนเพิ่มขึ้น โดยปริมาณการซื้อขายของตลาด TFEX ใน SET50 มีสัดส่วนกว่า 80% เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการซื้อขายใน SET และอาจมากกว่า SET ในอนาคต
สำหรับการลงทุนแนะนําลงทุนในกลุ่มหุ้นปันผลสูง ซึ่งประเมินว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยจากงานวิจัยพบว่าจากสถิติ 8 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา การลงทุนลักษณะดังกล่าวจะมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนประมาณ 10% ในช่วงระยะเวลาการลงทุนเพียง 4 เดือน ของการถือครอง (มกราคม ถึงเมษายน) ได้แก่ SCC ราคาพื้นฐาน 480 บาท, PTT ราคาพื้นฐาน 65 บาท, ADVANC ราคาพื้นฐาน 200 บาท, BBL ราคาพื้นฐาน 220 บาท และ KTB ราคาพื้นฐาน 22 บาท
www.mitihoon.com