ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดย “นายภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ เปิดเผยว่า เตรียมสรุปแผนการดำเนินงาน 3 ปี (62-64) ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 31 ม.ค.นี้ โดยจะร่วมกับสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานเกี่ยวข้องในตลาดทุนเพื่อหาแนวทางในการทำงานร่วมกันในการพัฒนาและยกระดับตลาดทุนไทย เบื้องต้นจะเน้นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)
ขณะเดียวกันยังมองว่าเศรษฐกิจในประเทศยังเป็นขาขึ้นที่มีแรงสนับสนุนจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยตลท.มีความมั่นใจว่าการระดมทุนต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะมาจากอุตสาหกรรมเก่าที่ต้องการขยายภาคธุรกิจของตัวเอง หรืออุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ต้องการต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ จะต้องใช้เงินทุนและลงทุนในภูมิภาคนี้จำนวนมาก โดยมองว่าพื้นที่ EEC จะเป็นพื้นที่ศักยภาพใหม่ของประเทศด้วย
รวมถึงการเลือกตั้งจะเพิ่มความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเม็ดเงินต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เนื่องจากเสถียรภาพของระบบการเมืองเป็นเรื่องที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญ โดยหลังจากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นคาดว่าตลาดหลักทรัพย์จะมีการนำเสนอข้อมูล (Road show) ทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เป็นปัจจัยภายนอง อาทิ สงครามการค้าที่แสดงความไม่ชัดเจนออกมาเป็นระยะ แม้ว่าตลาดจะรับรู้ไปบ้างแล้ว ส่วนอีกปัจจัย คือการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ซึ่งก็ยังไม่มีความชัดเจน โดยทั้งสองปัจจัยอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้ในบางช่วง
ด้านนายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า คาดว่าจำนวนไอพีโอในปี 62 จะมากกว่าปีก่อน ทั้งมาร์เก็ตแคปและจำนวนบริษัท ปัจจุบันมีบริษัทขนาดใหญ่ที่มีมาร์เก็ตแคปมากกว่า 1 หมื่นล้าน บาท มากกว่า 3 บริษัท ที่อยู่ระหว่างการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ปีที่ผ่านมามี บจ.เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์รวม 19 บริษัท มาร์เก็ตแคป ณ ราคาไอพีโอ 1.27 แสนล้านบาท โดยหากรวมกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) จะมีมาร์เก็ตแคปรวมปี 61 ที่ 1.83 แสนล้านบาท
ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลท. กล่าวว่า ปัจจุบันมีความชัดเจนเรื่องกำหนดการการเลือกตั้งและแผนการประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งมองว่าตลาดทุนจะตอบรับในทิศทางที่ดี โดยคาดว่า Sentiment โดยรวมน่าจะดีขึ้น อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยปัจจัยความไม่ชัดเจนของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐยังมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมองว่าตลาดมีการตอบรับปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว ขณะเดียวกันนักลงทุนยังให้ความสนใจเรื่อง (Brexit) เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดยทั้งสองปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เกิดผลกระทบต่อทั้งโลกไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยอย่างเดียว
นอกจากนี้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) 3 ไตรมาสที่ผ่านมาของปี 61 มีการเติบโตค่อนข้างดี ทั้งด้านรายได้และกำไรจากการดำเนินงาน (Operating profit) ที่อยู่ในอัตราเฉลี่ยราว 10% ซึ่งมองว่ายังมีโอกาสการเติบโตต่อในอนาคตได้ ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายที่จะมากระตุ้นเพื่อสนับสนุนการเติบโตด้วย