โกลเบล็ก จับตาทุนจีนไหลเข้า EEC ประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทย 1,610-1,660 จุด
มิติหุ้น – ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.โกลเบล็ก หรือ GBS จับตาทุนจีนแห่ลงทุนไทย โดยนางสาว วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ได้รับปัจจยบวกจากความหวังในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนโดยกระทรวงพาณิชย์จีนเชื่อว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนยังมีความหวังในการหารือและคาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการแก้ปัญหาขัดแย้งทางการค้าระหว่างกันได้
นอกจากนี้ จีนยืนยันว่าจะไม่ใช้อัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันเพื่อหนุนการส่งออก และจะพยายามรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้อยู่ในระดับสมดุล รวมทั้งจีนมีแนวโน้มขยายฐานการลงทุนมาตั้งโรงงานในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีการส่งเสริมการลงทุนเพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้า ผลิตสินค้าป้อนตลาดไทยและส่งออกไปขายต่างประเทศทั่วโลก
ส่วนปัจจัยลบที่คาดว่าส่งผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ อาทิ กรณีที่สหรัฐรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร เดือน ก.พ. เพิ่มขึ้นเพียง 20,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 180,000 ตำแหน่ง ทำให้มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และ ประธานาธิบดีทรัมป์ เตรียมของบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนมูลค่า 8.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 5.7 พันล้านดอลลาร์จากที่เคยขอไว้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นงบสำหรับปีงบประมาณ 2563 ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค. 2562 และรัฐสภาต้องผ่านงบประมาณก่อนถึงวันดังกล่าว รวมทั้งค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกและถ่วงการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
อีกทั้งยังคงต้องจับตาปัจจัยเหล่านี้ เช่น นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เตรียมแถลงปิดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ทรัมป์ เตรียมแถลงนโยบายประจำปี 2563 ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เตรียมประชุมนโยบายการเงินและลงมติอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในวันที่ 12 มี.ค. จีน เปิดเผย การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือนก.พ. รัฐสภาอังกฤษมีกำหนดลงมติต่อข้อตกลง Brexit ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวน โดยคาดดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,610 – 1,660 จุด จึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่เข้าคำนวณ FTSE มีผล 15 มี.ค. FTSE Large Cap เช่น HMPRO, GULF, EA, MINT, MAKRO, BEM, DIF และ FTSE Mid Cap ได้แก่ MTC และ GPSC (HMPRO MTC ราคาหุ้นขึ้น YTD น้อยกว่าดัชนี SET)
รวมทั้งหุ้นที่ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อการเติบโตของธุรกิจหลังเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ เช่น หุ้น PRM (รายได้และกำไรปีนี้มีแนวโน้มเติบโตจากฐานที่ต่ำในปีที่ผ่านมา) หุ้น XO (อัตรากำไรสุทธิมีโอกาสเติบโตสูงกว่าการเติบโตของรายได้ คงประมาณกำไรปี 62 ราว 247 ล้านบาท เติบโต 11%จากปีก่อน หุ้น CAZ (การเติบโตของรายได้ในอนาคตจะทำให้อัตราการทำกำไรปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากค่าใช้จ่ายขายและบริหารส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่) และหุ้นWHA (หุ้นแนะนำใน theme EEC เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ 9 แห่งจากทั้งหมด 11 แห่งอยู่ในพื้นที่ EEC)