สัปดาห์นี้ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือการประชุมรัฐสภาของอังกฤษในวันที่ 12-14 มี.ค. ในเรื่องการโหวตรับร่างมติการออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ซึ่งตลาดก็คาดการณ์ว่าการประชุมในครั้งนี้ น่าจะมีการเลื่อนลงมติออกไป ซึ่งก็ไม่เป็นผลอะไรกับตลาดหุ้นแต่จะมีผลต่อค่าเงินปอนด์ที่จะแข็งค่าขึ้นและส่งผลให้เงินยูโรและดอลลาร์อ่อนค่าลง
ขณะที่ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีการายงานตัวเลขเศรษฐกิจและการคาดการณ์ที่สำคัญจากหลายแห่ง ได้แก่ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ได้ปรับประมาณการเติบโตของ GDP โลกในปี 2562 ลงระดับจาก 3.5% เป็น 3.3% เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่ปรับลดการเติบโต GDP ลงจาก 1.7% เหลือ 1.1% รวมถึงตัวเลขการส่งออกของจีนในเดือน ก.พ. ปรับตัวลง 20% และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯที่ต่ำกว่าคาด เป็นผลทำให้ตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงสะท้อนประเด็นดังกล่าว รวมไปถึงตลาดเกิดใหม่ที่มีกระแสเงินลงทุนไหลออก ที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มประเทศที่มีปัญหาทางด้านเมือง เช่น อินเดีย , ปากีสถาน , บราซิล , ตรุกี และ อาร์เจนตินา
โดยความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงทำให้ในช่วงสั้นๆนี้ เราเห็นความผันผวนของตลาดเงินและตลาดทุนพอสมควร สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1,300 เหรียญฯ สะท้อนให้เห็นความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตามภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังไม่ได้เป็นภาพลบอย่างชัดเจน การเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับจีนที่ได้ข้อตกลงที่ดีนับเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโลกอยู่ ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางอย่างสหรัฐฯ (Fed) เริ่มถูกคาดการณ์ว่าจะใช้นโยบายเชิงผ่อนคลายมากขึ้นและอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยลงในปีนี้
สำหรับตลาดหุ้นของไทยเอง ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวทรงตัวในทิศทางขาลงในตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาแต่ไม่ได้ปรับตัวลงมากนัก โดย SET Index วันจันทร์ที่ (11 มี.ค.) ดัชนีปิดทำการในแดนลบที่ระดับ 1,627.43 จุด -2.69 จุด หรือ -0.17% แม้จะยังมีแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติอยู่ แต่กระแสเงินลงทุนที่ไหลออกจากหุ้นไทยนั้น เมื่อมองในภาพรวมถือเป็นการชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล ดังนั้นตลาดหุ้นไทย ณ ตอนนี้เคลื่อนไหวอยู่กับปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ทั้งนี้วันที่ 17 มี.ค. 2562 จะเริ่มต้นของการเลือกตั้งล่วงหน้า ทิศทางตลาดจะเคลื่อนไหวไปตามบรรยกาศทางการเมืองจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้งจริงทั่วประเทศในวันที่ 24 มี.ค. 2562
ดังนั้น KTBST แนะนำการจัดสรรลงทุน (Asset Allocation) โดยลดน้ำหนัการลงทุนในตลาดหุ้นไทยลง และเน้นไปที่ตลาดหุ้นที่ระดับราคาน่าสนใจและมีปัจจัยบวกอย่าง ตลาดหุ้นจีนและญี่ปุ่น รวมถึง สินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์ ที่ให้ผลตอบแทนดีและไม่มีผันผวนตามเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน อีกสินทรัพย์ที่แนะนำ คือ ทองคำ ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในภาวะที่ตลาดมีความผันผวน โดยรวมการลงทุนในช่วงนี้ต้องติดตามข่าวสารและใช้ความระมัดระวังในการลงทุนนะครับ
ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้” https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php
โดยชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST)
www.mitihoon.com