บอร์ด JCK อนุมัติเพิ่มทุนแบบ General mandate 214 ล้านหุ้น วางเป้าขายแบบ PP เพื่อเติมสภาพคล่อง – ลดหนี้ – เสริมแกร่งฐานะการเงิน พร้อมรองรับขยายการลงทุนโครงการใหม่ หนุนอนาคตสดใส
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ. เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ JCK (เดิมชื่อ TFD) โดยนายอภิชัย เตชะอุบลประธานกรรมการ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติการลดทุนจดทะเบียน จาก 3,324.20 ล้านบาท เป็น 2,554.76 ล้านบาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้จำหน่าย จำนวน 769.44 ล้านบาท มูลค่าตราไว้หุ้นละ 1 บาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 2,769.46 ล้านบาท โดยการออกหุ้นเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวน 214,703,414 หุ้น เพื่อเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) คาดว่าจะได้รับงานประมาณ 328.50 ล้านบาท
วัตถุประสงค์การเพิ่มทุนครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงิน เพิ่มความแข็งแกร่งของฐานะการเงินให้แก่บริษัทและช่วยลดภาระการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ขณะเดียวกันทำให้บริษัทมีเงินทุนเพิ่มขึ้น สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบัน และรองรับการขยายการลงทุนในอนาคต ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรและแนวโน้มผลการดำเนินงานมีทิศทางที่ดีขึ้นได้
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจปี 2562 คาดว่ารายได้จากการขายที่ดินจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสร้างรายได้ และผลักดันผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพราะธุรกิจนิคมฯ มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง และปัจจุบันมีลูกค้าที่สนใจซื้อที่ดินโครงการของบริษัทอยู่หลายรายทั้งผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในนิคมฯ และลูกค้ารายใหม่ เนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นนิคมฯ ที่ตั้งอยู่ในเขต EEC ประกอบมีโลเคชั่นที่ดี ติดขนานตลอดแนวถนนมอเตอร์เวย์เกือบ 4 กิโลเมตร และติดถนนบางปะกง-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งเป็นนิคมฯ ในเขต EEC ที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุดทำให้ที่ดินของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี มีความน่าสนใจมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 2562 จะสามารถปิดยอดขายที่ดินในนิคมทีเอฟดี 2 ได้ไม่น้อยกว่า 200 ไร่ และยังได้รับอานิสงส์จากวิกฤตสงครามการค้าระหว่างจีนและอเมริกา ทำให้มีลูกค้ารายใหม่หลายรายจากประเทศจีนที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจย้ายฐานการลงทุนมาไทยอีกจำนวนมาก
ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้าในประเทศอังกฤษ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาขาย Warehouse ที่เหลืออยู่อีก 1 แห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถขายและรับรู้รายได้ไม่เกินกลางปี 2562 โดยมีมูลค่าขายอยู่ประมาณ 700-800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าในไทย มีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่าในปี 2562 น่าจะปล่อยเช่าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30,000 ตรม. เมื่อรวมกับพื้นที่เช่าปล่อยเดิมอีกประมาณ 32,000 ตรม. ยอดรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 62,000 ตรม.
นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายจะขายคลังสินค้าบางส่วน เข้าไปเป็นสินทรัพย์หลักของกอง REIT ซึ่งน่าจะมีขนาดเสนอขายไม่น้อยกว่า 2,000 – 2,500 ล้านบาท และคาดว่ารายได้ในส่วนนี้ บริษัทจะรับรู้เข้ามาประมาณไตรมาส 4 ปี 2562 หรืออย่างช้าไม่เกินกลางปี 2563
www.mitihoon.com