ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค หรือ ECF โดยนายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า บริษัทมีมติอนุมัติให้ยกเลิกมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 13/2561 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 พ.ย.61 และมติของที่ประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 16 ม.ค.62 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเข้าลงทุนใน S-TREK และการเพิ่มทุนและการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับการเข้าลงทุนใน S-TREK เนื่องจากข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างที่จะมีการนำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ซึ่งคณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาแล้วและมีความเห็นว่าข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมีผลกระทบที่เป็นนัยสำคัญต่อการเข้าทำรายการดังกล่าวและอาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ
โดยจากการพิจารณาทบทวนการเข้าลงทุนใน S-TREK ที่ประชุมจึงได้มีมติอนุมัติเลื่อนการเข้าลงทุนใน STREK โดยมีเหตุผลคือ การบันทึกบัญชีของ S-Trek ภายหลังจากที่ปรึกษาทางบัญชีได้เข้าตรวจสอบบัญชีเป็นกรณีพิเศษตามที่คณะกรรมการของบริษัทฯ กำหนดข้างต้น ปรากฎว่าในระหว่างการตรวจสอบ ที่ปรึกษาทางบัญชีได้รายงานต่อฝ่ายบริหารในเบื้องต้นว่า S-TREK อาจมีการบันทึกบัญชีที่ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานบัญชี
โดย S-TREK จะต้องเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (NPAEs) มาสู่ มาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (PAEs) ด้วยระยะเวลาที่จำกัด S-TREK อาจไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงในประเด็นดังกล่าวได้ทันก่อนกำหนดเวลาในการเข้าทำรายการที่ ผู้ขายได้ตกลงไว้กับบริษัทฯ ได้ และรายการดังกล่าวก็เป็นประเด็นที่มีสาระสำคัญต่องบการเงินของ S-TREK และของบริษัทฯ ในอนาคต ฝ่ายบริหารจึงได้รายงานข้อมูลเบื้องต้นเรื่องการบันทึกบัญชีที่ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานบัญชีมายังที่ประชุมเพื่อพิจารณา
ทั้งนี้ จากการที่บริษัทฯได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ เพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ S-TREKโดยวิธีการแลกหุ้น (Share Swap) โดยที่ปรึกษาการเงินอิสระเมื่อพิจารณาความสมเหตุสมผลของรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ และความเหมาะสมของราคาและเงื่อนไขของรายการได้มาซึ่งหุ้นสามัญของ S-TREK แล้ว ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระมีความเห็นว่าการเข้าทำรายการยังมีความไม่เหมาะสมในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังได้เพิ่มทุนจดทะเบียน เป็น 312,462,090.75 บาท จากเดิม 285,712,090.75บาท โดยแบ่งเป็น เพื่อรองรับการปรับสิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิฯ ECF-W3 จำนวน 12 ล้านหุ้น และ แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ประเภท บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน ไม่เกิน 95 ล้านหุ้น ทั้งนี้จำนวนเงินที่ได้มานั้นหวังนำมาเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และนำมาลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน รวมถึง ขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจอย่างยั่งยืน