SET Index เดือน มี.ค. เคลื่อนไหวผันผวนในทิศทางลงเนื่องจากนักลงทุนกลับมากังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากบรรดาธนาคารกลางของประเทศต่างๆทยอยปรับลดคาดการณ์ GDP ในปีนี้และปีหน้า ขณะเดียวกันตลาดพันธบัตรของสหรัฐเกิดภาวะ Invert yield curve หรือ เกิดสัญญาณเตือนถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้นักลงทุนยังวิตกกังวลต่อปัญหาการเมืองในประเทศหลังจากผลการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 24 มี.ค.19 ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากหรือเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส. (250 คน) ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปอย่างล่าช้า และมีโอกาสที่รัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสมบ่งชี้ถึงความไม่มีเสถียรภาพในการบริหารประเทศของรัฐบาลในระยะยาว ส่งผลให้ SET Index เดือน มี.ค. ลดลง 14.8 จุด (-0.90%) ปิดที่ระดับ 1,639 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยลดลงเป็น 41,208 ล้านบาท ลดลง 10% mom นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 16,397 ล้านบาท (YTD ขายสุทธิ 13,086 ล้านบาท)
เรามีมุมมองเป็นกลางถึงบวกต่อการลงทุนในเดือน เม.ย.คาด SET Index มีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 1,680 -1,700 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจาก 1) การเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีความคืบหน้าไปด้วยดี และ คาดว่าจะยุติข้อพิพาทกันได้ภายในเดือน เม.ย., 2) Fed ส่งสัญญาณจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกในปีนี้และจะยุติการลดขนาดงบดุลในเดือน ก.ย., 3) MSCI ประกาศอนุมัติให้รวม NVDR ไว้ในน้ำหนักการลงทุนส่งผลให้น้ำหนักการลงทุนของตลาดหุ้นไทย ใน MSCI EM เพิ่มขึ้นเป็น 3% จาก 2.5% หรือคิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท และ 4) เราคาดว่านักลงทุนจะเริ่มมองหาหุ้นเก็งกำไรโดยเฉพาะหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการ 1Q19 จะออกมาดีกันมากขึ้น
โดยเราเชื่อว่าทั้ง 4 ปัจจัยข้างต้นจะช่วยลดแรงกดดันจากปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากยังไม่มีพรรคใดสามารถรวบรวมเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลได้ และสุดท้ายจะต้องรอการรับรองผลอย่างเป็นทางการของ กกต.ในวันที่ 9 พ.ค.
อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าบรรยากาศการซื้อขายในเดือน เม.ย. จะยังไม่คึกคักเนื่องจากเดือนนี้จะมีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกานต์และยังมีแรงกดดันจากการขึ้นเครื่องหมาย XD ของบริษัทจดทะเบียนรวมกว่า 90 บริษัท อาทิ BANPU, กลุ่มธุรกิจปูนซิเมนต์ (SCC, SCCC), และกลุ่มธนาคาร & Finance (BBL, KBANK, SCB, KTB, TMB, TISCO และ KKP) กลยุทธ์ เดือนนี้ยังเป็น Selective Buy เน้นหุ้นรายตัวที่แนวโน้มผลประกอบการ 1Q19 จะออกมาดี อาทิ กลุ่มโรงกลั่น และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อาทิ หุ้นที่ถูกปรับและเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในดัชนี MSCI รอบใหม่ เช่น BDMS CPN และ RATCH
โดยบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน)