มิติหุ้น – TOP ไตรมาส 1 การันตี กำไรสต๊อกน้ำมัน ลั่นตอกเสาเข็มโครงการ CFP กลางปีนี้ งบลงทุนกว่า 4.8 พันล้านเหรียญฯ ชี้มาตรฐาน IMO เกิดปัจจัยบวก ยันขายโรงไฟฟ้า ERU ให้ GPSC ช่วยลดภาระเงินลงทุนกว่า 15% ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มเป็น 12.57%
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ผู้ประกอบการธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี โดยนายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เผยว่า ไตรมาส 1/62 คาดจะมีกำไรจากการสต๊อกน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ระดับ 67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากสิ้นปี 61 ปิดที่ระดับ 57 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนภาพรวมทั้งปี 62 คาดราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยระดับ 60-65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนความคืบหน้าโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ของ TOP มูลค่าโครงการรวม 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอยู่ระหว่างออกแบบด้านวิศวกรรม คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างกลางปี 62 แล้วเสร็จปลายปี 65 พร้อมเดินเครื่องอย่างเป็นทางการในปี 66
ทั้งนี้ การขายทรัพย์สินเพื่อโอนกรรมสิทธิ์หน่วยผลิตไฟฟ้า Energy Recovery Unit หรือ ERU มูลค่า 757 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ CFP ให้กับ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC เป็นการลดภาระการลงทุนในโครงการ CFP โดยจะสามารถลดภาระเงินลงทุนได้ 15% จากมูลค่ารวมโครงการราว 4,825 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 4,219 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้าง และยังส่งผลให้อัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) เพิ่มขึ้นเป็น 12.57% จาก 12.1%
สำหรับโครงการ ERU เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมเชื้อเพลิงกากน้ำมันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ ติดตั้งประมาณ 250 เมกะวัตต์ และ 175 ตันต่อชั่วโมง การลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะได้รับอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ที่ระดับ 8%
ขณะที่กรณีการที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 จะเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัทมากกว่า เนื่องจากบริษัทได้กลั่นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานในสัดส่วน 60% ของกำลังการกลั่นรวม โดยคาดว่าอุตสาหกรรมเดินเรือจะหันมาใช้น้ำมันดีเซลแทนน้ำมันเตา ขณะที่การผลิตน้ำมันเตาของบริษัทมีเพียง7% ขณะที่โครงการ CFP หากแล้วเสร็จ สามารถรองรับมาตรฐาน IMO
www.mitihoon.com
