สัปดาห์ทำการสุดท้ายของเดือน พ.ค. ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงเกิดความผันผวนและปรับตัวลงต่อเนื่อง จากสัปดาห์ที่ผ่านมา จากปัจจัยเรื่องภาวะสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่เพิ่มความร้อนแรงมากขึ้น จากการที่หลายบริษัทในสหรัฐฯระงับการทำธุรกิจกับบริษัท Huawei ผู้ผลิตมือถือและผู้ให้บริการโทรคมนาคมจากประเทศจีน โดยบริษัทเอกชนอย่าง GOOGLE ตลอดจนผู้ผลิตชิปโทรศัพท์อย่าง ARM ได้ยกเลิกการส่งสินค้าให้ทางบริษัท HUAWEI ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบเกิดแรงเทขายและปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ , ชิ้นส่วนยานยนต์และกลุ่มท่องเที่ยว ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า GDP โลกในปี 2019 อาจเติบโตเพียง 3.5% จากผลกระทบที่มาจากสงครามการค้านี้ แม้โดนัลด์ ทรัมป์ จะระบุว่าการเจรจาการค้ากับจีนจะยังคงเดินหน้าต่อไป แต่หากยังไม่สามารถเจรจาและได้ข้อยุติ ตลาดหุ้นจะถูกกดดันต่อไป
อีกประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองคือ การประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ นาง เทเรซ่า เมย์ ที่จะมีผลในวันที่ 7 มิถุนายน 2019 ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปสามารถปรับตัวบวกขึ้นมาได้บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เป็นการปรับตัวขึ้นในระยะสั้น นักลงทุนยังคงติดตามการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในอังกฤษที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงของอังกฤษและยุโรปต่อไป
ขณะที่ปัจจัยในประเทศนั้น ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นมาบ้างเป็นตอบรับต่อการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความชัดเจน แต่ก็ยังมีความเสี่ยงต่อเรื่องเสถียรภาพในระยะยาวของรัฐบาลจากคะแนนเสี่ยงของ 3 ฝ่ายที่ใกล้เคียงกัน รวมทั้งการรายงานตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 1 ที่ออกมาต่ำกว่าคาดทำให้แนวโน้ม GDP ของปี 2019 มีโอกาสออกมาต่ำกว่าระดับ 3.6% ดังนั้นในช่วงสัปดาห์นี้อาจมีแรงหนุนตลาดบ้างจากนักลงทุนที่ทยอยเข้ามาซื้อในลักษณะเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่เคลื่อนไหวอิงกับปัจจัยการเมือง เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มรับเหมา รวมไปถึงกลุ่มที่ได้สัมปทานจากโครงการของรัฐบาล
ทั้งนี้ ด้วยความเสี่ยงหลักจากเรื่องสงครามการค้ายังทำให้ KTBST ประเมินว่าตลาดยังมีความผันผวน จึงอยากแนะนำนักลงทุนในช่วงระยะนี้ว่า ควรปรับพอร์ตลงทุนรับมือกับความผันผวนดังกล่าว โดยเน้นลงทุนในแบบเชิงรับ (Defensive Strategy) ซึ่งกลุ่มหุ้นที่ KTBST มองว่าน่าสนใจสำหรับการลงทุนในช่วงภาวะตลาดเช่นนี้ได้แก่ โรงไฟฟ้าและโรงพยาบาล หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (REIT & Property Fund) ได้แก่ CPNREIT, RATCH, BEM, CPALL และ CPF นอกจากนี้ยังแนะนำตลาดต่างประเทศที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นจีนและอินเดีย ซึ่งระดับราคาหุ้นถือว่าถูกและมีปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้” https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php
โดยชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST)
www.mitihoon.com