มิติหุ้น – IRPC ไตรมาส 2 ไฮซีซั่นการขับขี่ ไม่มีหยุดซ่อมบำรุง แนวโน้ม GIM รวมทั้งสเปรดราคาน้ำมันฟื้นตัว ยันโครงการ MARS ตัดสินใจลงทุนไม่ทันปีนี้ โบรกฯ มองครึ่งปีหลังเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ประกอบกับ IMO หนุนผลงานฟื้นตัวแกร่ง แนะเป้าซื้อ 7 บาท
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC ผู้ประกอบการโรงกลั่น โดยแหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรม เผยว่า ความคืบหน้าการลงทุนโครงการ Maximum Aromatics (MARS) ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนออกแบบและการประเมินผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) คาดจะยังไม่สามารถตัดสินใจการลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ได้ทันปีนี้ จากที่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2/62 เนื่องจากต้องพิจารณาเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนให้รอบคอบก่อน
Q2 กำไรฟื้น – ไม่มีหยุดซ่อมบำรุง
ส่วนผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/62 เป็นช่วงไฮซีซั่นของการขับขี่ของสหรัฐฯ และยุโรป ประกอบกับ IRPC ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุง จึงคาดว่ากำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) รวมผลกระทบจากการสต๊อกน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/62 อยู่ในระดับ 8.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไทยพาณิชย์ ประเมินหุ้น IRPC ว่า ไตรมาส 2/62 คาดว่ากำไรจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/62 ที่มีกำไรสุทธิ 152 ล้านบาท เนื่องจากกำลังการผลิตจะกลับมาสู่ภาวะปกติหลังจากหยุดซ่อมบำรุงในช่วงไตรมาส 1 ประกอบกับสเปรดราคาน้ำมันเบนซินฟื้นตัวดีขึ้น ปัจจุบันอยู่ในระดับ 8-9 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากช่วงไฮซีซั่นของการขับขี่ของสหรัฐฯ และยุโรป ขณะที่สเปรดราคาน้ำมันกลุ่มดีเซลอยู่ในระดับ 12-13 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ครึ่งปีหลังรับอานิสงส์ IMO – ฤดูหนาว
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลัง 62 คาดว่าสเปรดราคากลุ่มน้ำมันดีเซลจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก เฉลี่ยในระดับ 16-18 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากช่วงปลายไตรมาส 3 จนถึงไตรมาส 4 เป็นฤดูหนาว ส่งผลให้มีการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น ประกอบกับองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 นั้น IRPC ได้มีปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นรองรับเรียบร้อยแล้วส่งผลให้หน่วยกลั่นมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย และคาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อค่าการกลั่นและสเปรดราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ภาพรวมผลประกอบการปี 62 จึงประเมินกำไรสุทธิไว้ที่ 11,000 ล้านบาท พร้อมกับประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 7 บาท แนะนำ “ซื้อ”
