‘DREIT’ คาดเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 ใน Q3/62 นี้ นำเงินขยายพอร์ตลงทุนเพิ่มใน ‘ดุสิตธานี มัลดีฟส์’

595

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บริษัท ดุสิตธานี พร็อพเพอร์ตี้ส์ รีท จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์ของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี (DREIT) โดยนายสานต่อ มุทธสกุล กรรมการผู้จัดการ เผยว่า ขณะนี้แบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมครั้งที่ 1 (การเพิ่มทุน) ของ DREIT ซึ่งจะเสนอขายต่อผู้ถือหน่วยทรัสต์เดิมตามสิทธิที่ได้รับจัดสรรตามสัดส่วนการถือหน่วยทรัสต์ (Rights Offering) และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไป (Public Offering) จำนวนไม่เกิน 365 ล้านหน่วย อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งคาดว่าจะได้รับอนุมัติให้เสนอขายได้ภายในไตรมาสที่ 3/62 นี้

ทั้งนี้ เงินระดมทุนที่ได้จากการออกหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนดังกล่าว จะนำไปเป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนในโครงการโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่บนเกาะ Mudhdhoo ในหมู่เกาะ Baa Atoll สาธารณรัฐมัลดีฟส์ บนพื้นที่เช่าประมาณ 116 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา ระยะเวลาเช่าคงเหลือ 40 ปีเศษ มีมูลค่าการลงทุนรวมไม่เกิน 2,385.60 ล้านบาท โดยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยในปี 2561 สูงถึง 84.43%

ด้านนายนิพัทธ์ วัฒนาธิษฐาน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การลงทุนเพิ่มเติมของ DREIT ในครั้งนี้ จะทำให้รายได้ค่าเช่าของกองทรัสต์มีความมั่นคงมากขึ้นผ่านการกระจายความเสี่ยงของการจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สิน ซึ่งเดิม DREIT ลงทุนในโครงการโรงแรมในประเทศทั้งหมด 3 แห่ง คือ โรงแรมดุสิตดีทู เชียงใหม่ โรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต และ โรงแรมดุสิตธานีหัวหิน การเพิ่มโครงการในต่างประเทศเข้ามาจะช่วยลดการพึ่งพิงแหล่งรายได้ของกองทรัสต์ DREIT กับทรัพย์สินใดทรัพย์สินหนึ่ง (Asset Diversification)

นอกจากนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าวจะทำให้กองทรัสต์มีมูลค่าสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน มูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์อยู่ที่ระดับประมาณ 4,554 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากการเข้าลงทุนในโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ คาดว่ากองทรัสต์จะมีมูลค่าสินทรัพย์รวมไม่เกิน 7,036 ล้านบาท จึงคาดว่าจะส่งผลดีต่อสภาพคล่องในการซื้อขายหน่วยทรัสต์จากจำนวนหน่วยที่มากขึ้น เพิ่มความสนใจให้แก่นักลงทุนกลุ่มใหม่ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความสามารถในการกู้ยืมเงิน รวมถึงความสามารถในการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของกองทรัสต์ ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออัตราผลตอบแทนของหน่วยทรัสต์ในอนาคตอีกด้วย