ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บลจ. กสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะตลาดตราสารหนี้ จากปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้เศรษฐกิจโลกทั้งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและประเทศเกิดใหม่มีสัญญาณที่ชะลอลง ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดดอกเบี้ยลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมาก และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ไทยปรับตัวลดลงตาม
ทั้งนี้ ยังคงคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มทรงตัวไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ ด้านส่วนต่างผลตอบแทนหุ้นกู้ (Credit Spread) ของไทย ที่ปรับตัวลดลงจากการที่มีอุปสงค์จากนักลงทุนในการหาโอกาสเพิ่มผลตอบแทน ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนตราสารหนี้โดยรวมในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวได้ดี อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในอนาคตซึ่งจะมีประเด็นเรียกเก็บภาษีเงินได้ตราสารหนี้กองทุนรวมในอัตรา 15% ก่อนจ่ายดอกเบี้ยให้กองทุนรวม สำหรับตราสารที่กองทุนลงทุนหลังวันที่ 20 ส.ค. 62 ซึ่งทาง บลจ.กสิกรไทย ได้ติดตามศึกษาประเด็นดังกล่าว และเตรียมสถานะของกองทุนเพื่อลดผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีดังกล่าว โดยได้ลงทุนเพิ่มเติมในหุ้นกู้เอกชนก่อนวันที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้
ในส่วนของ บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 – 31 พ.ค. 2562 ในอัตรา 11.00 บาทต่อหน่วย ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียน ณ วันที่ 18 มิ.ย. 2562 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 มิ.ย. 2562 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 87.73 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุน ABFTH มีขนาดประมาณ 10,205 ล้านบาท ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2549 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 27 ครั้ง เป็นเงิน 435.73 บาทต่อหน่วย
โดยในรอบผลการดำเนินงาน 1 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.19% ต่อปี ขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี, 5 ปี และ 10 ปี อยู่ที่ 4.62% ต่อปี, 3.98% ต่อปี และ 3.92% ต่อปี เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 4.46% ต่อปี, 4.09% ต่อปี และ 4.06% ต่อปี ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พ.ค. 62) อย่างไรก็ดี กองทุน ABFTH เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป จึงควรมีระยะเวลาการถือครองเฉลี่ยประมาณ 6-7 ปี เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กสิกรไทย หรือ KAsset Contact Center 0