Bitcoin (บิทคอยน์) กับอนาคตแทนที่เงินสด

2400

บิทคอยน์คืออะไร ?

บิทคอยน์คือสกุลเงินดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นมาผ่านการใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าในโลกออนไลน์โดยไม่ผ่านตัวกลางใดๆ  อย่างธนาคาร การโอนถอนเงินมีการตรวจสอบความปลอดภัยจากผู้ใช้บริการในระบบ จากการขุด(mining) บิทคอยน์ไม่มีรูปร่างและไม่สามารถจับต้องได้เหมือนเหรียญและธนบัตรทั่วไป ทั้งนี้บิทคอยน์เป็นเพียงสกุลเงินดิจิทัลสกุลหนึ่งเท่านั้น ยังมีสกุลเงินดิจิทัลอีกมากมายที่ถูกสร้างขึ้นมา เช่น Bitcoin cash, Ethereum และ Litecoin

 

ต้นกำเนิดแนวความคิดบิทคอยน์

จากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ในปี ค.ศ. 2007-2008 ที่เป็นวิกฤตการเงินที่มีผลกระทบไปทั่วโลกเนื่องจากการที่ธนาคารปล่อยให้คนกู้ยืมเงินง่ายเกินไป โดยสร้างแรงจูงใจ ให้คนกู้ยืมว่า “ อนาคตราคาบ้าน หรือ อสังหาริมทรัพย์จะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น” จากการคาดการณ์นี้ทำให้คนแห่กู้เงินเพื่อไปซื้อทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร แต่แล้ว ราคากลับตกลง พร้อมกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จึงทำให้คนเริ่มเบี้ยวจ่ายคืนเงินกู้ซึ่งทำให้ธนาคารขาดทุนถึง 4 แสนล้านดอลลาร์ จากหนี้ที่เพิ่งสูงขึ้นธนาคารจึงคิดการแก้ปัญหาโดยการพิมพ์ธนบัตรเพิ่ม ปั๊มเงินเข้าไปในระบบเพื่อให้คนมีเงินมาจ่ายหนี้ จนทำให้สถานการณ์ย่ำแย่จนเกิดเป็นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

 

หลังจากนั้นจึงมีคนตั้งข้อสงสัยและเลือกที่จะไม่ไว้ใจธนาคารอีกต่อไป Bitcoin จึงถือกำเนิดขึ้นโดยบุคคลนิรนามที่มีชื่อว่า Satoshi Nakamoto เป็นธุมกรรมการเงินไร้ตัวกลาง เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าไม่มีวิกฤตที่เกิดจากธนาคารอีกต่อไป

 

ทำไม Bitcoin ถึงดีกว่าเงินสด ?

 

  1. เทคโนโลยี blockchain มีความปลอดภัยและโปร่งใสสูงมากซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแฮกค์ระบบหรือเปลี่ยนข้อมูลในระบบธุรกรรม ซึ่งข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดจะถูกบันทึกแบบสาธารณะที่ทุกคนในระบบสามารถตรวจสอบได้
  2. ป้องกันอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากบิทคอยน์มีจำนวนจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญและต้องใช้เวลานับร้อยปีจึงจะขุดหมด ไม่เหมือนเงินสดที่ ธนาคาร สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาได้ตลอดเวลา ซึ่ง บิทคอยน์จะมาแก้ปัญหาตรงนี้เพราะว่ามันไม่มีตัวกลางที่สามารถพิมพ์เหรียญออกมาได้อย่างอิสระ
  3. การไม่มีตัวกลางทำให้ ธุรกรรมต่างประเทศทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเราสามารถจ่ายเงินผ่านโลกออนไลน์โดยที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม หรือรอการทำงานจากธนาคาร อีกทั้งสกุลเงินบิทคอยน์นั้นสามารถใช้ได้ทั่วโลก ซึ่งผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอัตราแลกเปลี่ยน
  4. ปัญหาธนบัตรปลอมจะหมดไปเนืองจากเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะผลิตบิทคอยน์ปลอมขึ้นมาไม่เหมือนกับธนบัตร
  5. สังคมปราศจากเงินสด เหรียญคริปโตถูกเก็บไว้ในระบบดิจิทัลทั้งหมด ซึ่งผู้ถือเงินคริปโตสามารถจ่ายหรือรับเงินจากที่ไหนก็ได้ทั้วโลก หมดปัญหาการโดนขโมยเงินและการเก็บเงินที่แสนลำบาก

 

ผลข้างเคียงจากบิทคอยน์

 

ถึงแม้บิทคอยน์จะสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาต่างๆจากเงินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่ใช่ว่าบิทคอยน์จะดีเสมอไปเพราะ ยังคงมีปัญหาหลายๆอย่างที่จะเป็นข้อกังวลหากบิทคอยน์ประสบความสำเร็จ อย่างแรกคือรัฐบาลจะไม่สามารถควบคุมเงินหมุนเวียนในระบบได้อย่างอิสระ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รัฐบาลจะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการคลัง อย่าง Monetary policy หรือนโยบายทางการเงิน Quantitative Easing (QE) ได้อีกต่อไป จะใช้ได้เพียง Fiscal policy ที่เป็นการเเทรกเเทรงเศรษฐกิจจากการลงทุน หรือ ภาษี ของรัฐบาล ต่อมาคือ ธนาคารหลายแห่งจะล่มอย่างไม่ต้องสงสัยด้วยระบบการเงิน decentralized ของบิทคอยน์ที่ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางเพื่อความเชื่อมั่นทางการเงิน และการที่บิทคอยน์นั้นเข้าถึงได้ง่ายจากระบบดิจิทัลผ่านอินเตอร์เน็ต คนส่วนมากที่ไม่สามรถเข้าถึงธนาคารได้ ก็จะสามารถเข้าถึงบิทคอยน์ได้อย่างง่ายได้ ซึ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทุกธนาคารอยากให้เกินขึ้นในอนาคตแน่นอน

 

การกักตุนบิทคอยน์ หรือ hoarding ของผู้ใช้บริการในยุคแรกต่างมีบิทคอยน์อยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้บิทคอยน์ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อย เมื่อ supply ของตลาดมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น จึงมีการผันผวนของราคา และทำให้เกิด Hyperdeflation หรือ ปัญหาเงินฝืดแบบสุดขีด ที่หลายๆคนกังวลกัน

 

อนาคตของบิทคอยน์จะเป็นอย่างไร

 

ถึงแม้ตอนนี้ตลาดของบิทคอยน์จะยังเล็กจึงทำให้ราคาไม่เสถียรและมีความผันผวนสูงมากแต่ในอนาคตที่บิทคอยน์มีความรู้จักอย่างแพร่หลาย มีความเชื่อมั่นจากประชาชนอย่างทั่วถึง มีร้านค้าเริ่มรับเหรียญบิทคอยน์มากขึ้นจะทำให้ราคาตลาดของบิทคอยน์อาจมีความเสถียรมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้ร้านค้าที่รองรับเหรียญบิทคอยน์มีมากกว่า 900 แห่งทั่วโลก ทั้งนี้ยิ่งบิทคอยน์มีความนิยมมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีกฏหมายการควบคุมจากรัฐบาลมากขึ้นซึ่งอาจจะมีผลกระทบกับจุดประสงค์หลักของการมีบิทคอยน์ขึ้นมา และ หลายๆประเทศยังเห็นว่าเทคโลยีบิทคอยน์นั้นมีผลกระทบต่อประเทศจึงมีกฏหมายที่รัดกุมเป็นอย่างมาก โดยข้อมูลแหล่งข่าวในขณะนี้เผยถึงกฏหมายของสหรัฐอเมริกาต่อนักลงทุนสกุลเงินดิจิทัลรวมถึงบิทคอยน์ที่มีความกังวลต่อการใช้สุกลเงินนี้อย่างผิดกฏหมาย อย่างการหลีกเลี่ยงภาษีจึงมีกฏหมายต่อสกุลเงินดิจิทัลอย่างเคร่งครัด รวมถึงการลงทุนเกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัลสำหรับประชากรของสหรัฐจะต้องอยู่ภายใต้กฏหมายของประเทศอเมริกา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลกจึงส่งผลให้บริษัทในหลายๆประเทศมีความกังวลและพยายามหลีกเลี่ยงลูกค้าหรือนักลงทุนจากสหรัฐอเมริกา

 

ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) ได้มีการประกาศรายชื่อเหรียญที่สามารถ ที่สามารถใช้ในการระดมทุนผ่าน ICO แล้วได้แก่ Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Ripple (XRP) และ Stellar (XLM) ซึ่งการเลือกเหรียญเหล่านี้ พิจารณาจากพัฒนาการ ข่าวสาร และปัจจัยสำคัญอื่นๆเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล อีกทั้งบริษัทเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลหลายแห่งในประเทศไทยได้รับใบอนุญาติประกอบธุรกิจจาก ก.ล.ต อย่างถูกกฏหมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือบริษัทให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub.com

 

ยังไม่มีใครรู้ว่าอนาคตของบิทคอยน์จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ในขณะนี้ที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจต่อบิทคอยน์และนิยมใช้กันมากขึ้นนั้นเป็นสัญญาณที่ดีต่อความสำเร็จใจอนาคตอย่างแน่นอน

โดยBitkub.com

www.mitihoon.com