คอลัมน์ KTBST Build Your Net Worth
ชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST)
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสัปดาห์นี้ มีหลายปัจจัยที่ตลาดกำลังติดตามดู ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวในกรอบจำกัดรวมทั้งตลาดหุ้นไทย โดยการประชุม FOMC ในช่วงสัปดาห์หน้า ตลาดกำลังรอดูว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยอย่างไรบ้าง ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯจะเป็นตัวกำหนดการพิจารณาของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นรายงานตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (PMI) ของสหรัฐฯ ในวันที่ 24 ก.ค. คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 50.4 จากช่วงก่อนหน้าที่ระดับ 50.6 และที่จับตามองกันคือรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 26 ก.ค. นี้ คาดว่าจะรายงานออกมาที่ระดับ 1.8% ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.1% รวมไปถึงรายงานผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 5 บริษัท หรือ FAANG ได้แก่ Facebook , Amazon, Apple, Netflix และ Alphabet ที่จะมีการรายงานงบการเงินในวันที่ 24 – 25 ก.ค. นี้
ขณะเดียวกัน การเจรจาการค้าของสหรัฐฯกับจีน ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ตลาดให้ความสนใจอยู่ ทำให้การลงทุนในตลาดทั่วโลกช่วงนี้ค่อนข้างจะมีความระมัดระวังมากขึ้น โดยทาง KTBST ก็ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯลงมาสู่ระดับน้อยกว่าตลาด (Underweight)
อีกประเด็นจากทางด้านยุโรป คือ การประชุมเพื่อคัดเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ของพรรคอนุรักษ์นิยมของประเทศอังกฤษ คาดว่านาย Boris Johnson จะยังคงได้รับคะแนนนิยมเป็นอันดับ 1 และสามารถดำเนินในเรื่องการถอนตัวจากสหภาพยุโรป หรือ BREXIT ต่อจากนางเทเรซ่า เมย์ได้ ซึ่งการโหวตเลือกจะมีขึ้นในวันที่ 23 กรกฎาคม ประเด็นดังกล่าวนี้ KTBST ให้คำแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปน้อยกว่าตลาดเช่นเดียวกัน เนื่องจากจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณชะลอตัวและมีโอกาสที่ทางสหรัฐฯจะใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ากับกลุ่มประเทศยุโรป
ทั้งนี้ผลกระทบจากสงครามการค้าที่มีต่อประเทศไทย ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 ก.ค.) มีรายงานตัวเลขการส่งออกไทยเดือน มิ.ย. ติดลบ -2.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมอีเล็คทรอนิกส์ และรถยนต์ ดังนั้น KTBST จึงคาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัวจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นและการลงทุนในช่วงนี้ แม้รัฐบาลจะพยายามดำเนินนโยบายที่จะเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ทำให้นักลงทุนรอติดตามการแถลงนโยบายรวมของรัฐบาลในัวนที่ 25 ก.ค. นี้ว่าแนวนโยบายจะออกมาในทางใด โดยเฉพาะกระทรวงที่สำคัญอย่างกระทรวงพลังงานและคมนาคม ที่อาจจะมีผลกระทบต่อหุ้นบางตัวในตลาด
โดยภาพรวม KTBST มีมุมมองว่า ด้วยมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างแพงอีกทั้งการแข็งค่าของเงินบาทจะเป็นตัวกดดันภาคการส่งออกของไทยต่อไปในระยะ 3 – 4 เดือนข้างหน้า กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ มองกรอบดัชนีเคลื่อนไหวทรงตัว (Sideway) ที่ระดับ 1,720-1,750 จุด อาจต้องพิจารณาขายหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นมามากและเน้นเลือกลงทุนเป็นรายตัว เช่น หุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาดีหรือหุ้นที่ราคาปรับตัวลงไปมาก เช่น โรงพยาบาล ค้าปลีก โรงไฟฟ้า KTBST แนะนำการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน (Investment grade) จากภาวะความผันผวนของตลาดที่เริ่มเพิ่มขึ้น ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้” https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php