SCBAMแนะกระจายการลงทุน ชี้เป้าหุ้น4กลุ่มคุณภาพสูง พร้อมเปิดทางรับผลตอบแทนในกองทุนติดดาว

182

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ หรือ SCBAM เปิดเผยถึงแนวทางการจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ว่า ยังคงแนะนำนักลงทุนให้กระจายการลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพสูง ทนทานต่อความผันผวนจากเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน

แนะลงทุนหุ้น4กลุ่มเด่น

โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) หุ้น Quality Stock ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มพาณิชย์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น 2) หุ้น Growth Stock ที่มีแนวโน้มเติบโตในช่วง 3 – 6 เดือนข้างหน้า และการประเมินมูลค่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น กลุ่มน้ำมัน กลุ่มการเงิน เป็นต้น

3) หุ้น High Dividend Yield เป็นหุ้นที่มีแนวโน้มปันผลสูง ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจะมีความผันผวนต่ำ ในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนสูง และ 4) หุ้นที่มีความยั่งยืน หรือหุ้นที่อยู่ในดัชนี THSI (Thailand Sustainability Investment) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีบรรษัทภิบาลที่ดี มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ มีการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจอย่างเหมาะสม

ชี้ทางรับยิลด์ดีในกองทุนติดดาว

นอกจากนี้ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีกองทุนหุ้นไทยที่แนะนำ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เซ็ท อินเด็กซ์ ฟันด์ (SCBSET) เป็นกองทุนประเภท Passive ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นกองทุนเพียงกองเดียวในประเทศไทย ที่มีนโยบายลงทุนให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ SET Index มากที่สุด โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 12.50% (ข้อมูล ณ 22 ก.ค. 2562) นอกจากนี้กองทุนดังกล่าวยังได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมแห่งปี 2019 ปี 2015 และปี 2013 ประเภทประเภทกองทุนตราสารทุนทั่วไป จาก Money & Banking Awards ซึ่งจัดโดยวารสารการเงินธนาคารอีกด้วย

รวมถึงกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) จัดเป็นกองทุน 5 ดาว ประเภท Thailand Fund Equity Large-Cap ของมอร์นิ่งสตาร์ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2554 มีการจ่ายปันผลแล้ว 16 ครั้ง รวม 7.16 บาทต่อหน่วย มีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach โดยการคัดเลือกลงทุนในหุ้นไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด และสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น เน้นไม่เกิน 30 ตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับสูงได้ ทั้งนี้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 11.43%