มิติหุ้น – บล.เออีซี มองดัชนีตลาดหุ้นไทย ในสัปดาห์นี้ ผันผวนในกรอบ 1,690-1,730 จุด ชี้ ดักทางหุ้น BJC- SEAFCO- DCC- ROBINS – ASK เหตุรับอานิสงค์ การกระตุ้นนโยบายเศรษฐกิจภาครัฐบาล พร้อมแนะควรจับตา ภาพรวมการลงทุนในต่างประเทศ ที่จะเข้ามาเป็นตัวแปรหลักต่อตลาดหุ้นไทย
บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ประเมินตลาดหุ้นไทยในช่วงสัปดาห์นี้ว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย ยังคงผันผวน ในกรอบ 1,690 -1,730 จุด โดยให้น้ำหนักการลงทุน ในหุ้น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และยังมี Upside ที่น่าสนใจ อาทิ หุ้นBJC( ช่วง 2H62 คาดเห็นการฟื้นตัว จากการขยายสาขา BigC มากขึ้นจากสาขาทั้งในประเทศ 7 สาขา และสาขาที่กัมพูชา 1 สาขาBigC Food Place 1 สาขา และ Mini BigC ราว 200 สาขา ) หุ้น SEAFCO (ช่วง 2Q62 คาดโต 5.4% YoY ด้วยงานก่อสร้างที่รับรู้สูงกว่าปีก่อน ดังนั้นจึงปรับเพิ่มประมาณการหลังได้รับงานใหม่ มูลค่ากว่า 900 ล้านบาท)
นอกจากนี้ ยังแนะลงทุนใน หุ้น DCC (คาดปี 62 โต YoY หนุนด้วยกำลังผลิต และต้นทุนกระเบื้องดีขึ้นจาก Economy of scale หลังเข้าบริหารและถือหุ้น RCI อีกทั้งตั้งเป้าขยายสาขาปีนี้เพิ่มอีก 5 สาขา พร้อมปรับ Business Model แบ่งพื้นที่สาขาให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อเพิ่มช่องทางรับรู้รายได้ นอกจากนี้ DCC ยังมีการซื้อขายที่ PER15.2X ซึ่งถูกกว่า GLOBAL และ HMPRO) และ หุ้น ROBINS (แม้ช่วง 2Q62 คาดกำไรหดทั้ง QoQ และ YoY หลังเผชิญ SSSG ที่คาดติดลบราว 0.5-1% แต่คาดราคาหุ้นปรับลงมา เพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าวแล้ว และคาดกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะยังโต ขณะที่ 4Q62 เป็นช่วง High Season และมีการ เปิดสาขาที่ปิดปรับปรุงไป 3 สาขา )
ขณะเดียวกัน ฝ่ายวิจัย ยังแนะลงทุนในกลุ่ม Defensive Stock ซึ่งถือเป็นหุ้นที่ปลอดภัย ในช่วงท่ามกลาง ความผันผวนของตลาดหุ้นในปัจจุบัน ทำให้ทางบล.เลือกหุ้นที่มีอัตราจ่ายปันผลน่าดึงดูดบวกกับกำไรช่วง 2H62 มีแนวโน้มโตดี โดยแนะนำ หุ้น ASK (คาดผลดำเนินงานมีโตต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วง 2Q62 หนุนด้วยสินเชื่อรถพาณิชย์ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามงานก่อสร้างภาครัฐฯ ซึ่งจะทยอยเร่งตัวขึ้นบวกกับคาดได้ประโยชน์จากการทยอยเปลี่ยนรถตู้เป็นรถมินิบัสของผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ ตามมาตรการของ ขสมก.)
และหุ้น LH (คาดได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วนโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดราว 2-3 เท่า บวกกับมีกำไรจากการลงทุนใน HMPRO, QH และ LHFG ที่โตต่อเนื่อง หนุนคาดผลการดำเนินทั้งปีโต YoY และคาดมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานช่วง 1H62 คิดเป็น 3.2-3.6% ต่อปี)
พร้อมกันนี้ ฝ่ายวิจัย ยังแนะให้นักลงทุนจับตาทิศทางต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ผลจากการประชุม Fed ที่มีคาดหวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งในการประชุมครั้งนี้ที่ Implied Prob. 79% และคาดหวังปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในประชุมครั้งนี้ที่ Implied Prob. 21% รวมถึงรอการแถลงทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากนายเจอโรม พาวเวล ประธาน Fed
ขณะเดียวกัน ยังคงต้องจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่างดัชนี PCE อัตราการว่างงาน และ PMI ภาคการผลิตโดย อาจส่งผลต่อความเห็นของ FOMC ในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ธนาคารกลาง อาทิ BoJ รวมถึง ธปท. คาดคงดอกเบี้ยนโยบายเดิม
“ ตลาดหุ้นไทยยังมีสัญญาณลบจากการที่ต่างชาติกลับมาขายสุทธิสูงกว่า 4,346 ลบ. (ขายสุทธิรายวันสูงสุดในรอบ 9 เดือน) หลังการแถลงนโยบายของภาครัฐฯ ยังไม่มีสัญญาณเชิงบวกตามที่ตลาดคาด กอปรกับ 10Yr- Thai Bond Yield ปรับลงสู่1.904% ต่ำกว่า 10Yr US Bond Yield ที่ 2.065% และปัจจุบันซื้อขายด้วย PER ที่สูงราว 18.5x ทำให้ตลาดไทยมีความน่าสนใจลดลง ” ฝ่ายวิจัย ให้ข้อมูลทิ้งท้าย