NER แย้มQ2/62 กำไรโตสนั่น 165 ล้านบ. พุ่งแรง 248% ชี้กำลังผลิตพุ่ง ซุ่มดีลใหญ่ ‘ยุโรป-ญี่ปุ่น-ไทย’

213

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น”รายงานว่า บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางพาราธรรมชาติแปรรูป โดย “บล.ฟิลลิป” เผยว่า คาดไตรมาส 2/62 มีกำไรสุทธิที่ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 248% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 63% จากไตรมาสก่อน

โดยการเติบโตโดดเด่น เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้น มาจากการขยายกําลังการผลิตเพื่อรองรับคําสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายอยู่ที่ 3,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน เพราะปริมาณขาย เพิ่มขึ้น 40% ที่ 68,229 ตัน

ด้านราคาขายเฉลี่ย +1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  แต่จากไตรมาสก่อนคาดปริมาณขาย -1% แต่ราคาขาย +10% แม้ราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน แต่หากต้นทุนวัตถุดิบที่เร่งตัวขึ้นมากในช่วงก่อนหน้าส่งผลให้ margin เพิ่มน้อยกว่าคาดอยู่ที่ 8.5% จาก 8.2% ใน ไตรมาส 1/62 แต่ลดจาก 10% ในไตรมาส 2/61  ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารคาด +11% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น และคาดแนวโน้มดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากการจ่ายคืนเงินกู้หลังการ IPO ดังนั้น แนะนํา “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 3.48 บาท

ด้าน“นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า มั่นใจผลประกอบการไตรมาส 2/62 จะเติบโตต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/62 หลังปริมาณการขายเพิ่มขึ้น และล่าสุดบริษัทได้รับออเดอร์เพิ่มจากการตกลงทำสัญญาซื้อขายยางแท่งประเภท STR 20 กับลูกค้าจีน ที่ย้ายฐานการผลิตมาไทยในปริมาณ 1,000 ตันต่อเดือน เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มเดือน ต.ค.62 -ต.ค.63

พร้อมกันนี้มีโอกาสได้รับออเดอร์จากลูกค้าจีนรายอื่นๆเพิ่มเติมอีกด้วย เพราะมีลูกค้ารายเดิมเตรียมย้ายฐานผลิตมาไทยอีก 2 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนปลายปี 62นี้ ขณะเดียวกันยังรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาส จากการขยายกำลังการผลิตยางแผ่นผสมตั้งแต่ เม.ย.จำนวน 60,000 ตัน/ปี ทำให้กำลังการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ 227,200 ตัน/ปี

ดังนั้นภายหลังจากปิดผลประกอบการงวดไตรมาส 2/62 บริษัทมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ทั้งวปี 62 จากเดิมที่คาดเติบโตได้เพียง 30% หรือแตะ 1.35 หมื่นล้านบาท และมั่นใจอัตรากำไรสุทธิจะขยายตัวได้อย่างโดดเด่น ตามมาร์จิ้นต่อการขายที่มากขึ้น

ส่วนภาพธุรกิจในปี 63 มั่นใจผลงานจะเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง เพราะการก่อสร้างโรงงานยางแท่งใหม่จะแล้วเสร็จ ทำให้กำลังผลิตเพิ่มขึ้นราว 60% จากปัจจุบันที่ 287,200 ตัน/ ปี เพื่อรองรับคำสั่งซื้อลูกค้ายางล้อใหม่ ๆ เพิ่มเติม เนื่องจากโรงงานปัจจุบันใช้รับคำสั่งซื้อลูกค้าเดิม

ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างติดต่อลูกค้าใหม่ใน “ยุโรป-ญี่ปุ่น-ไทย-จีน” เพื่อขยายตลาดและลูกค้าเพื่อรองรับกำลังการผลิตใหม่ที่จะทยอยเพิ่มขึ้นในปีหน้า ดังนั้นในปี 63 คาดสัดส่วนการขายในประเทศจะเพิ่มเป็น 70% จากปัจจุบันที่ 60% ของการขาย

 

www.mitihoon.com