ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส หรือ PPS โดย “ดร.พงศ์ธร ธาราไชย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการลงทุนทำโครงการในที่ดินแหลมยามู จ.ภูเก็ต ภายใต้ บริษัท โปรเจคท์ วัน พร็อพเพอตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ PPS ร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้แก่นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจ โดยใช้แหล่งเงินทุนจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ (Debenture) วงเงินรวมไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารทบทวนการศึกษาความเป็นได้และจัดทำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าว
“บริษัทเล็งเห็นว่าโครงการแหลมยามู จ.ภูเก็ต เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ และเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทในการร่วมลงทุนครั้งนี้ โดยบริษัทในเครือ PPS ทั้งหมดสามารถต่อยอดโอกาสนี้ในการทำหน้าที่เป็น Project support หรือ Technical service ได้ บริษัทเชื่อว่าหากโครงการประสบความสำเร็จจะเป็นการเปลี่ยนโฉมธุรกิจครั้งใหญ่ และเป็นการเพิ่มช่องทางในการหารายได้ให้แก่กลุ่มบริษัท สามารถผลักดันรายได้ให้ PPS เติบโตตามแผนธุรกิจ 5 ปีอย่างก้าวกระโดด” ดร.พงศ์ธร กล่าว
ขณะที่ธุรกิจของบริษัทช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยครึ่งปีแรกบริษัทได้ยื่นประมูลงานภาคเอกชนหลายแห่ง ในกลุ่ม Retail งานโรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรม คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ส่วนงานโครงการภาครัฐ อาทิ สนามบินอู่ตะเภา งานรถไฟฟ้า งานรถไฟรางคู่ งานรถไฟความเร็วสูง ฯลฯ หากโครงการดังกล่าวเปิดประมูลตามแผน บริษัทได้เตรียมความพร้อมเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 258 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 103 ล้านบาทภายในปีนี้
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2562 บริษัทมีรายได้รวม 112.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 96.85 ล้านบาท จำนวน 15.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15.68 % และมีขาดทุนสุทธิ 1.86 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.78 ล้านบาท จำนวน 7.64 ล้านบาท หรือลดลง 132.17%
ส่วนผลประกอบการครึ่งแรกปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 242.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 194.76 ล้านบาท จำนวน 47.69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.48% และมีกำไรสุทธิ 10.03 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14.51 ล้านบาท จำนวน 4.48 ล้านบาท หรือลดลง 30.87%
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการอยู่ในระยะเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่กำไรสุทธิปรับตัวลดลง เนื่องจากผลกระทบของการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ที่ได้กำหนดอัตราค่าชดเชยกรณีการเลิกจ้างสำหรับลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป ให้มีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน หรือ 13.3 เดือนเป็นผลทำให้บริษัทและบริษัทย่อยต้องมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายดังกล่าว ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายครั้งเดียวและไม่ใช่เงินสดรวมทั้งสิ้น 8.14 ล้านบาท
www.mitihoon.com