ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “INSET” ระดมทุนเข้าตลาด mai เตรียมขายไอพีโอ 146 ล้านหุ้น ไตรมาส 4 ปีนี้

90

มิติหุ้น – ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “INSET” ระดมทุนเข้าตลาด mai เตรียมขายไอพีโอ 146 ล้านหุ้นคิดเป็น 26.07% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หวังขยายฐานทุนรองรับการเติบโตของธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม พร้อมลงสนามเทรดในไตรมาส 4 ปีนี้

คุณเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งของ INSET เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยบริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 146 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็น 26.07%ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 280 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 560 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนที่ชำระแล้ว 207 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้นไอพีโอและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในไตรมาส 4 ปีนี้

คุณศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET กล่าวว่า บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นไอพีโอเพื่อเข้าระดมทุนในตลาด mai เพื่อจะนำเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจ ซึ่งประกอบไปด้วย โครงการก่อสร้างโครงข่ายท่อร้อยสายสื่อสารลงใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2 และโครงการวางระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ WiFi ของโครงการ Google Station รวมทั้งเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ

INSET จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดในปี 2549 ด้วยทุนแรกเริ่มจำนวน 1 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจก่อสร้างศูนย์ข้อมูล ซึ่งบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และได้เริ่มขยายการให้บริการรับเหมาก่อสร้างในธุรกิจโทรคมนาคมอย่างครอบคลุมมากขึ้น ต่อมาในปี 2561 ได้เพิ่มทุนเป็น 207 ล้านบาท เพื่อให้บริการรับเหมาก่อสร้างกับผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม และในปี 2562 บริษัทฯ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 280 ล้านบาท พร้อมทั้งแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน ปัจจุบันสามารถแบ่งการให้บริการของบริษัทฯ เป็น 3 ธุรกิจ ได้แก่

 1.ธุรกิจก่อสร้างศูนย์ข้อมูลและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Data Center & Information Technology Infrastructure) โดยแบ่งเป็น 1.1) งานก่อสร้างศูนย์ข้อมูล (ศูนย์ Data Center)  บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจก่อสร้างศูนย์ Data Center และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยประสบการณ์กว่า 13 ปี มีทีมงานที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญตั้งแต่การสำรวจ ออกแบบ ก่อสร้าง รวมถึงติดตั้งระบบและอุปกรณ์ภายในศูนย์ข้อมูล และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ในรูปแบบการรับเหมาแบบเบ็ดเสร็จทั้งโครงการ (Turnkey) เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศรวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และ 1.2) งานก่อสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Infrastructure)  ซึ่งเป็นงานก่อสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ, ติดตั้งอุปกรณ์และเชื่อมต่อระบบต่างๆ ในพื้นที่โครงการ ทั้งระบบการสื่อสาร, ระบบสัญญาณ WIFI, ระบบสาย LAN และระบบไฟฟ้า เป็นต้น

2.ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคม (Telecommunication Infrastructure) โดยบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและโครงข่ายโทรคมนาคมให้กับผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศ โดยบริษัทฯ ให้บริการตั้งแต่การสำรวจ, ออกแบบ จนถึงก่อสร้างและติดตั้งเสาและสายสัญญาณและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

  1. ธุรกิจงานซ่อมบำรุงและบริการ (Maintenance and Service) บริษัทฯ มีบริการบำรุงรักษาและซ่อมบำรุงให้กับโครงการในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารโทรคมนาคม การให้บริการจะมีทีมวิศวกรของบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการซ่อมบำรุงเป็นหลัก โดยเน้นรับงานบริการและซ่อมบำรุงจากทั้งลูกค้าเก่าที่บริษัทฯ เคยส่งมอบโครงการแล้ว และลูกค้าใหม่ ซึ่งมีรูปแบบการให้บริการในลักษณะการให้บริการบำรุงรักษาแบบ Preventive Maintenance และแบบ Corrective Maintenanceโดยบริษัทฯ มีทีมงานประจำทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับความต้องการจากลูกค้าได้ทันที

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2559 – 2561 และงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 451.36 ล้านบาท 530.29 ล้านบาท 1,007.12 ล้านบาท และ 577.68 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากรายได้จากธุรกิจก่อสร้างศูนย์ข้อมูลและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รองลงมาเป็นรายได้จากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และโครงข่ายโทรคมนาคม โดยแต่ละปีมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.46 %, 19.38%, 17.43% และ15.76% ตามลำดับ  ขณะที่บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 43.14 ล้านบาท 63.91 ล้านบาท 94.56 ล้านบาท และ 46.57 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง