SCB เกิดอะไรขึ้นที่อาร์เจนตินา? หรือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย

555

มิติหุ้น-หลายท่านอาจรู้จักประเทศอาร์เจนตินาว่ามีทีมฟุตบอลที่มีฝีเท้าไม่เป็นรองใคร ผ่านละคร Broadway หรือเพลง Don’t cry for me Argentina และเร็วๆนี้ประเทศอาร์เจนตินาก็มีประเด็นที่ทำให้ทั่วโลกจับตา เพราะเมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นอาร์เจนตินา (S&P MERVAL INDEX) ปรับตัวลดลงแรงถึง -38% , ค่าเงินเปโซอาร์เจนตินาอ่อนค่าลง -26%, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 7 วัน LELIQ  ปรับขึ้น 11% อยู่ที่ 74.78% และ CDS ซึ่งแสดงค่าความเป็นไปได้ของการผิดนัดชำระภายใน 5 ปี อยู่ที่ 75% โดยสาเหตุมาจากการที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน นายเมาริซิโอ มากริ แพ้การเลือกตั้งไพรมารี (Primary Election) ให้กับคู่แข่ง นายอัลแบร์โต เฟอร์นันเดซ ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าแนวโน้มที่ นายเมาริซิโอ มากริ จะแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 27 ต.ค.นี้ และทำให้นโยบายที่ตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการชำระหนี้พันธบัตรรัฐบาลของอาร์เจนตินาที่มีเป็นจำนวนมาก

คุณศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน (CIO Office) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งไพรมารีครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการพ่ายแพ้ของพรรคการเมืองเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อของคนในประเทศ ที่ยังนิยมแนวคิดเปรองที่ถูกก่อตั้งโดยนายพลฮวน เปรอง และภรรยาอิวา เปรอง เป็นแนวคิดที่ไม่ใช่ทั้งเสรีนิยม  หรือคอมมิวนิสแบบสุดขั้ว แต่เป็นแนวคิดประชานิยมให้ความสำคัญกับกลุ่มคนใช้แรงงานทุกระดับชั้น ให้สวัสดิการกับประชาชนมีความเป็นชาตินิยมสูงและต่อต้านการเข้ามาของต่างชาติให้มายุ่งกับทรัพย์สินของประเทศ ทำให้ประธานาธิบดีปัจจุบันที่ได้เริ่มใช้นโยบายรัดเข็มขัดเพื่อแก้ไขเศรษฐกิจประเทศตามเงื่อนไขของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งนโยบายดังกล่าวทำให้นโยบายประชาชนนิยมถูกปรับเปลี่ยนไป เมื่อปัญหาปากท้องไม่ได้รับการแก้ไข ความเหลื่อมล้ำของคนรวยและคนจนมีมากขึ้น อีกทั้งสวัสดิการที่เคยได้รับถูกตัดทอน ท้ายที่สุดก็จะส่งผลให้การลงคะแนนเลือกตั้งเป็นตัวบ่งบอกว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการอะไร ผลลัพธ์คือ การที่ประชาชนอาร์เจนตินากลับมานึกถึงแนวคิดเปรอง ทำให้พรรคและแนวคิดเปรองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งไพรมารีครั้งนี้

แม้การเมืองจะเป็นส่วนสำคัญของความเชื่อมั่นและกำหนดทิศทางของประเทศในอนาคต แต่ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีพรรคใดชนะหรือแพ้ตลอดกาล การที่ประธานาธิบดีมีสิทธิแพ้เลือกตั้งในปี 2019 นั้นเป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นสำหรับทุกประเทศอยู่แล้ว แต่การที่ประเทศอาร์เจนตินาเคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ ตั้งแต่ปี 1827 ช่วงก่อตั้งประเทศจนถึงปี 2014 เป็นจำนวนถึง 8 ครั้ง และตัวเลขเศรษฐกิจประเทศอาร์เจนตินา ที่ GDP ขยายตัวและหดตัวสลับกันไม่ต่อเนื่องและการเผชิญกับเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่ปี 2018 ที่อัตราเงินเฟ้อของประเทศอยู่ในระดับสูงกว่า 20% และแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดุลการค้าติดลบ รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ และหนี้สินต่างประเทศอยู่ในระดับสูง ทั้งมีเงินสำรองต่างประเทศไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่อาร์เจนตินาจะผิดนัดชำระหนี้อีกครั้งนั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ แต่ทำไมการที่พรรคการเมืองฝั่งเปรองชนะการเลือกตั้งจึงส่งผลกระทบต่อตลาดขนาดนี้นั้น เรามองว่านักลงทุนในตลาดจะคิดว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิม โดยคิดว่าพรรคการเมืองปัจจุบันที่เพิ่งชนะได้เพียงสมัยเดียวจะแก้ปัญหาของประเทศได้ หรืออาจมองโลกในแง่ดีมากเกินไป

หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ราคาของพันธบัตรอาร์เจนตินาที่จ่ายเงินต้น และดอกเบี้ยในสกุลเงินสหรัฐฯ รุ่นครบกำหนดปี 2028 ปรับลดลง จนทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 7.65% เป็น 12.77% ทั้งนี้ การที่ทั่วโลกอยู่ในสภาวะดอกเบี้ยต่ำมานาน จึงทำให้ต้องนักลงุทนต้องหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง (Search for Yield) โดยอาจทำให้ต้องรับความเสี่ยงมากกว่าที่นักลงทุนยอมรับได้ ทำให้เราอาจเห็นสินทรัพย์เสี่ยงราคาปรับตัวลดลงในอนาคตเพิ่มมากขึ้น จากการที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับความเสี่ยงมากกว่าผลตอบแทน

โดย Chief Investment Office มองว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอาร์เจนตินา ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สะสมมาเป็นเวลานาน มีทางเลือกอยู่ไม่มากนัก ได้แก่ การแปรสภาพรัฐวิสาหกิจและขายให้กับนักลงทุนหรือกองทุนต่าง ๆ , การขอกู้เงิน IMF เพิ่มเติม, การปรับโครงสร้างหนี้ หรือหวังให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้นเหมือนช่วงปี 2004 และ 2008 ที่ราคาปรับเพิ่มสูงเกือบเท่าตัว ทำให้ประเทศสามารถผ่านพ้นวิกฤติในช่วงปี 2002 ไปได้

สำหรับช่วงเศรษฐกิจ Late Cycle ที่มีโอกาสเกิด Recession เพิ่มสูงขึ้น เรามองว่า ในอนาคตประเทศที่มีเสถียรภาพทางพื้นฐานเศรษฐกิจอ่อนแอจะเกิดปัญหาดังกล่าวเพิ่มขึ้นนั้น ดังนั้นในช่วงนี้ นักลงทุนจึงไม่ควรลงทุนในตราสาร High Yield หรือ Emerging Markets ที่อ่อนแอไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้หรือตราสารทุน อย่างไรก็ตาม ผมขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างระมัดระวังและปลอดภัยในการลงทุน