TCMC นำนักลงทุนเยี่ยมชมโรงงาน โชว์ศักยภาพสายการผลิตพรม หลังควบรวมกิจการเป็นครั้งแรก

711

มิติหุ้น – ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด มหาชน (TCM Corporation) หรือ TCMC เปิดโรงงานโชว์ศักยภาพสายการผลิตพรม หลังปรับโครงสร้างองค์กร ควบรวมโรงงานผลิตธุรกิจ TCM Flooring ในไทยมารวมกัน วางเป้าลดต้นทุน- เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ดันมาร์จิ้นเติบโต พร้อมตั้งเป้าหมาย 3-4 ปีข้างหน้า ยอดขายรวมจะเติบโต 7-10% ต่อปี

 ม.ล.วัลลีวรรณ วรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCMC ผู้ประกอบธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุปูพื้น กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และกลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มบุในรถยนต์ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยได้มีการย้ายโรงงานผลิตภายใต้การดำเนินงานของ บริษัททีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทคาร์เปท อินเตอร์แนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทยูไนเต็ด คาร์เปท แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด มารวมอยู่ในโรงงานเดียวกันทั้งหมด หลังการเข้าลงทุนในปี 2560 รวมถึงบริษัทได้มีการปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อลดต้นทุนและซื้อเครื่องจักรใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในกระบวนการผลิตและการบริหารทรัพยากรในด้านต่าง ๆ อีกทั้ง เพื่อรองรับการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ทั้งปัจจุบันและในอนาคต ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีความคล่องตัวในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้น ทั้งยังสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และจะช่วยเพิ่มผลกำไรให้บริษัทได้อย่างเป็นรูปธรรมได้ต่อไป

“หลังจากการย้ายโรงงานผลิตมาอยู่ที่เดียวกัน เราตั้งเป้าจะทำให้ต้นทุนการผลิตจะลดลงเหลือที่ระดับ 60% จากปัจจุบันที่มีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ระดับ 68% ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เดิมบริษัทมีโรงงานพรมจำนวน 3 โรงงาน ประกอบด้วย โรงงานผลิตดั้งเดิมบนถนนวิภาวดีรังสิต โรงงานผลิตในบริเวณลำลูกกา รังสิต และโรงงานผลิตที่จังหวัดปทุมธานี โดยบริษัทได้ทยอยโยกย้ายกำลังผลิตทั้งหมดไปรวมกันบนพื้นที่รวมประมาณ 100 ไร่ ที่โรงงานปทุมธานี ตั้งแต่ต้นปี 2562 ส่งผลให้ปัจจุบันไลน์ผลิตของธุรกิจพรมและวัสดุปูพื้น (TCM Flooring) ทั้งหมดที่โรงงานปทุมธานี มีกำลังการผลิตรวมทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านตารางเมตรต่อปี”  ม.ล.วัลลีวรรณ กล่าว

ทั้งนี้ จากการที่บริษัทปรับย้ายโรงงานผลิตมารวมอยู่ในโรงงานเดียวกันทั้งหมด จะทำให้บริษัทสามารถควบคุมทั้งต้นทุนการผลิตและประสิทธิภาพได้ดีขึ้น และจะทำให้การดำเนินงานเป็นระบบมากขึ้น โดยในปี 2562 บริษัทได้วางเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวม (ไม่รวมค่าเงิน) ไว้ที่ 7-10% หรือเติบโตทะลุ 10,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 9,596.12 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จะมา 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุปูพื้น 2.กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และ 3.กลุ่มธุรกิจพรมและผ้าหุ้มบุในรถยนต์ ซึ่งกลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุปูพื้น ยังคงมีสัดส่วนรายได้ 35% ของพอร์ตรายได้รวม และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ เช่น โครงการออกแบบติดตั้งพรมบนเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว เป็นต้น รวมถึงการเดินหน้าเข้ารับงานในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชน ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง

สำหรับที่ดินโรงงานผลิตเดิมบริเวณถนนวิภาวดี-รังสิต ตั้งอยู่บริเวณถนนวิภาวดี-รังสิต มีขนาดพื้นที่ 29 ไร่ ขณะนี้ได้ให้นายหน้าดำเนินการประกาศขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งที่ดินดังกล่าวมีมูลค่าตามราคาประเมินตลาดอยู่ที่ 702 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีการเจรจาระหว่างผู้สนใจ 2-3 ราย คาดจะสามารถสรุปการขายได้ภายในปี 2562 นี้ ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวจะนำมาใช้ชำระหนี้บางส่วน เพื่อที่จะลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้ลดลง จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.9 เท่า ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนมาอยู่ที่ระดับ 1.75 เท่า และบางส่วนจะใช้ในการขยายการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งบริษัทได้วางแผนลงทุนซื้อเครื่องจักรใหม่และปรับปรุงเครื่องจักรเดิมประมาณ 100 ล้านบาทภายในปี 2562 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

ม.ล.วัลลีวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการมองการเติบโตในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมให้เติบโตประมาณ 7-10% ต่อปี และหวังว่ากำไรที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกันกับยอดขาย โดยบริษัทจะนำกำไรบางส่วนไปใช้ชำระเงินกู้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งจะส่งผลให้กำไรในอนาคตของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง จนหมดไปในที่สุด ขณะเดียวกัน บริษัทมีนโยบายระยะยาวในการปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยการปรับลดอัตราหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อสร้างความมั่นคงทางฐานะการเงินของบริษัท แต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชำระหนี้สินให้หมดในระยะสั้น เนื่องจากภาระดอกเบี้ยทั้งหมดยังอยู่ในเกณฑ์ที่บริษัทสามารถควบคุมได้ จึงเห็นสมควรที่จะเก็บเงินบางส่วน เพื่อไว้ใช้สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด และสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อีก ทั้งนี้ การที่บริษัทจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลา 3-4 ปีข้างหน้า บริษัทยังไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีการเพิ่มทุน แต่จะเป็นการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ได้ลงทุนมาแล้ว

นอกจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินงานแบบเข้มข้นในทุกมิติ ทั้งด้านโครงสร้างการบริหารที่มีการแยกการบริหารในแต่ละกลุ่มธุรกิจอย่างชัดเจน โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีทีมผู้บริหารมืออาชีพเข้าเสริมทัพในแต่ละกลุ่มธุรกิจ การดำเนินกลยุทธ์ด้านการตลาดที่จะมีความทันสมัย ตอบสนองความต้องการของตลาดทั่วโลก ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และการบริการ การมุ่งสู่การทำธุรกิจแบบใส่ใจชุมชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้บริษัทก้าวสู่องค์กรชั้นนำระดับโลกและเป็นผู้นำในตลาดโลกในกลุ่มธุรกิจหลักที่บริษัทมีความถนัดอย่างยั่งยืน