NER เพิ่มวัตถุประสงค์รุกธุรกิจไบโอแก๊ส ด้านรายได้ Q3/62 คาดโตรับราคายางพุ่ง

146

มิติหุ้น – บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ หรือ NER พิจารณาเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัท เพื่อให้สอดคล้องกับการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้และจำหน่ายจากโครงการไบโอแก๊สของบริษัท ด้านผลประกอบการไตรมาส 3/62  คาดว่าจะดีขึ้นจากราคายางพารามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆและกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยถึงว่า บริษัทได้มีการจัดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 ประจำปี 2562 ในการเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ของบริษัท เพื่อประกอบกิจการผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อใช้และจำหน่าย ให้มีความชัดเจน ครอบคลุมและรับรองการผลิตก๊าซชีวภาพจากโครงการไบโอแก๊สของบริษั

โครงการผลิตก๊าซชีวภาพของบริษัทฯ ประกอบไปด้วยโครงการย่อย 2 โครงการ โครงการละ 2 เมกกะวัตต์ โครงการแรกที่จะคอมมิชชันนิ่งในอีก 5 เดือนข้างหน้า มีมูลค่าการลงทุนทางบัญชีอยู่ที่ประมาณ 163 ล้านบาท จากการศึกษาเพิ่มเติม มีการปรับปรุงกระบวนการผลิต ปรับปรุงสัดส่วนการเติมวัตถุดิบ และปรับการบริหารจัดการขั้นตอนกระบวนการผลิตบางส่วนพบว่า จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ปริมาณการผลิตก๊าซชีวภาพ 17,000 ลบ.ม.ต่อวัน ระยะเวลาคืนทุนที่ 8.7 ปี ความสามารถในการลดต้นทุน (ประเมินเทียบกับต้นทุนพลังงานปัจจุบันที่ซื้อที่ราคา 22 บาทต่อหน่วย) สามารถลดลงต้นทุนพลังงานลงได้ประมาณ 5 – 7 บาทต่อหน่วย ทั้งหมดถือเป็นการลงทุนเชิงยั่งยืนซึ่งสามารถขยายต่อยอดไปถึงกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์โดยสนับสนุนและส่งเสริมการทำเกษตรกรรมร่วมกันระหว่างชุมชนรอบด้านกับบริษัทต่อไปอีกด้วย

“ในการจำหน่ายไฟฟ้านั้น ต้องมีการขออนุญาตจำหน่ายไฟฟ้าในอีกหลายขั้นตอนและใช้เวลาดำเนินการอีกพอสมควร ซึ่งบริษัทได้เคยเดินเรื่องขอจำหน่ายไฟฟ้าไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้แต่ปรากฏได้รับแจ้งว่าจุดเชื่อมต่อและสายส่งในพื้นที่เต็มจำนวนจึงไม่ได้รับการอนุมัติให้ขายไฟฟ้า บริษัทฯ จึงปรับแผนโดยการนำก๊าซชีวภาพที่ได้มาปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อนำไปใช้ในกิจการของบริษัท และในกระบวนการปั่นไฟนั้นจะได้พลังงานความร้อนจากเครื่องปั่นไฟอีกทางหนึ่งซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ทดแทนพลังงานความร้อนจากแหล่งพลังงานที่ต้องซื้อเข้ามา ส่งผลให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ถึงสองทางคือค่าพลังงานเชื้อเพลิงในการอบยางและค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในกิจการพร้อมกัน” คุณชูวิทย์กล่าว

คุณชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมถึง ผลประกอบการไตรมาส 3/62  คาดว่าจะดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาส 2/62 เนื่องจากราคายางพารามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น  โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรวม 255,000 ตันจากเป้าหมายในปีนี้ที่ 260,000 ตัน เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ บริษัทมีลูกค้าใหม่ที่เริ่มซื้อขายเพิ่มเข้ามาอีกหลาย พร้อมกันนี้มีลูกค้ารายใหญ่ 2 รายพร้อมที่จะเซ็นสัญญา Long Term เมื่อโรงงานใหม่ก่อสร้างแล้วเสร็จ คือ Apollo Tyre ล่าสุดได้เข้ามาตรวจสอบคุณภาพโรงงานแล้ว ด้าน MICHELIN จะเข้ามาตรวจสอบคุณภาพโรงงานในเดือนพฤศจิกา

www.mitihoon.com