JWD ชิงเค้กธุรกิจใหม่ ‘ตู้นิรภัยให้เช่า’ ต่อยอดบริการ ‘ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า’ ในที่เดียวรายแรกในไทย

73

มิติหุ้น-  JWD ลุยธุรกิจใหม่ ‘ตู้นิรภัยให้เช่า’ ต่อยอดบริการ ‘ห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า’ ภายใน JWD Store It! สาขาสยาม เจาะลูกค้าธุรกิจและรายย่อยที่ต้องการเก็บของมีค่าในที่ปลอดภัย ชูจุดเด่นเป็นผู้ประกอบการรายแรกในไทยที่รวม 2 บริการไว้ในที่เดียว เน้นการก่อสร้างและมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกในการเข้า-ออก สแกนลายนิ้วมือและใบหน้า ตั้งเป้าอัตราเช่าพื้นที่แตะ 90-100% ภายใน 3 ปี พร้อมเตรียมเปิดบริการ JWD Store It! เพิ่มอีก 2 สาขาภายในปีนี้ และตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่ให้บริการรวมเป็น 2 หมื่นตารางเมตรภายในปี 2563 ก้าวเป็นผู้นำธุรกิจที่มีสาขาและพื้นที่ให้บริการมากที่สุด

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี
อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า หลังจากเมื่อปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดให้บริการ Self-Storage หรือห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า ภายใต้ชื่อ JWD Store It! สาขาสยาม อาคาร JWD Group ซอยจุฬาฯ 16 เพื่อตอบสนองผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่เก็บของส่วนตัวภายในเมืองและได้ผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ ปัจจุบัน บริษัทฯ พบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไป ต้องการเช่าพื้นที่ Safe Deposit Box หรือตู้นิรภัยให้เช่า เพื่อเก็บของมีค่าในพื้นที่ที่มีระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสูงเพิ่มเติมด้วย

ดังนั้น ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทฯ จึงเริ่มเปิดให้บริการตู้นิรภัยให้เช่า ตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณชั้น 5 ของ JWD Store it! สาขาสยาม ซึ่งเป็นอาคารแบบสแตนอโลนสามารถเข้า-ออกได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อขยายบริการใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเก็บของใช้ส่วนตัวหรือต้องการเก็บของมีค่าในที่เดียว

“เราเห็นโอกาสจากความต้องการเช่าตู้นิรภัยในทำเลสยาม จึงตัดสินใจขยายการลงทุน โดย JWD ถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายแรกในประเทศไทย ที่เปิดให้บริการห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่าและตู้นิรภัยให้เช่าในที่เดียวเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า เนื่องจากในปัจจุบันผู้ดำเนินธุรกิจตู้นิรภัยให้เช่าส่วนใหญ่คือธนาคารต่าง ๆ ซึ่งมีซัพพลาย (ตู้นิรภัยให้บริการ) ไม่เพียงพอกับความต้องการและกำหนดคุณสมบัติลูกค้าที่จะใช้บริการ อาทิ ต้องมีบัญชีเงินฝากกับธนาคาร, ทำประกันชีวิตตามวงเงินที่กำหนด ฯลฯ ส่วนผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ธนาคารในปัจจุบันมีเพียง 3-4 ราย และเปิดให้บริการอยู่ในพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่า เราจึงมองเห็นโอกาสในการเข้ามาทำธุรกิจนี้” นายชวนินทร์ กล่าว

ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า ตู้นิรภัยให้เช่าสาขาสยาม ปัจจุบันเปิดให้บริการในเฟส 1 มีจำนวน 540 ช่อง จากแผนพัฒนาทั้งหมด 4 เฟส รวมทั้งสิ้นประมาณ 2,000 ช่อง โดยมีตู้นิรภัยให้เลือกอย่างหลากหลายถึง 4 ขนาด คือ S M L และ XL มีระยะเวลาเช่า 2 รูปแบบ ได้แก่ เช่าระยะสั้น 3 เดือน และเช่าระยะยาว 1 ปี จุดเด่นบริการตู้นิรภัยให้เช่าของ JWD คือมีการออกแบบก่อสร้างตามมาตรฐาน International Standard Vault Class A โดยมีโครงสร้างเป็นผนังคอนกรีตเสริมเหล็ก ติดตั้งประตูกันไฟ และระบบป้องกันอัคคีภัย และระยะเวลาในเปิดทำการมีความยืดหยุ่นกว่า นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกในการเข้า-ออก ระบบสแกนลายนิ้วมือและใบหน้า โดยลูกค้าสามารถซื้อประกันภัยทรัพย์สินเพิ่มเติมได้สูงสุด 5 ล้านบาทจากความคุ้มครองปกติวงเงิน 100,000 บาท ซึ่งเป็นที่เดียวที่มอบประภัยความคุ้มครองขั้นต่ำแก่ผู้ใช้บริการ

บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าเฟสแรกที่เปิดให้บริการคาดว่าพื้นที่จะเต็มภายใน 3 ปี ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้ารายย่อยเข้าใช้บริการและอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าธุรกิจที่เป็นผู้ประกอบการที่สนใจเช่าพื้นที่ ข้อดีของธุรกิจตู้นิรภัยให้เช่าคือมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่าค่อนข้างมาก นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจตู้นิรภัยให้เช่าเพิ่มเติมในทำเลที่มีศักยภาพ

ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวอีกว่า ขณะที่การดำเนินธุรกิจ Self-Storage หรือห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า ภายใต้ชื่อ JWD Store It! มีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อก้าวเป็นผู้นำธุรกิจนี้ โดยปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 2 สาขา ถือว่ามีอัตราเช่าพื้นที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ได้แก่ สาขาศรีกรีฑา (ถนนกรุงเทพกรีฑา) เปิดให้บริการปี 2557 มีอัตราเช่าพื้นที่ประมาณ 90% และสาขาสยาม เปิดให้บริการปี 2561 มีอัตราเช่าพื้นที่ประมาณ 50%

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดให้บริการ JWD Store It! เพิ่มขึ้นอีก 2 สาขาภายในปีนี้ ได้แก่ สาขาเทียมร่วมมิตร มีพื้นที่ให้เช่ารวม 2,000 ตารางเมตร และสาขารามอินทรา มีพื้นที่ให้เช่ารวม 1,800 ตารางเมตร ซึ่งล้วนเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อขยายพื้นที่บริการให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ถ้ารวมทั้ง 4 ทำเลที่อัตราเช่าพื้นที่ประมาณ 90% จะสามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปี รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาเช่าพื้นที่ในย่านใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อขยายสาขาเพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายภายในปี 2563 จะมีพื้นที่ให้บริการ Self-Storage รวมทั้งหมด 2 หมื่นตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่มีจำนวนสาขาและพื้นที่ให้บริการมากที่สุด